โรคเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial conjunctivitis)

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียพบได้น้อยกว่าเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส แต่มีอาการรุนแรงกว่า และหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจกลายเป็นโรคเรื้อรังได้ เชื้อที่พบบ่อยในผู้ใหญ่คือ Staphylococcus aureus และกลุ่ม Gonococci ส่วนในเด็กมักพบ Streptococcus pneumoniae และ Haemophilus influenzae

การติดต่อของโรคนี้คล้ายกับ โรคเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส โดยเชื้อจะแพร่ทางการสัมผัสกับน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วย หากผู้ป่วยขยี้ตาแล้วไม่ล้างมือทันที เชื้ออาจแพร่ไปตามเสื้อผ้า ของใช้ และสิ่งแวดล้อม ผู้ที่สัมผัสสิ่งของเหล่านี้แล้วนำมือมาขยี้ตาตนเองโดยไม่ล้างมือก็สามารถติดโรคได้ง่าย

นอกจากนี้เชื้อ Neisseria gonorrhoeae (เชื้อหนองใน) ซึ่งอยู่ประจำในช่องคลอดของมารดา สามารถติดต่อสู่ตาทารกในขณะคลอดทางช่องคลอดได้ แพทย์จึงต้องหยอดยาฆ่าเชื้อที่ตาทารกทุกคนหลังคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อชนิดนี้

อาการของโรค

อาการแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เฉียบพลันและเรื้อรัง

  1. อาการแบบเฉียบพลัน (Acute bacterial conjunctivitis)
  2. ระยะฟักตัวและความรุนแรงขึ้นกับชนิดของเชื้อและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย อาการมักเริ่มที่ตาข้างเดียว โดยมีตาแดง เคืองตา หนังตาบวม และมีขี้ตาสีเหลืองข้นคล้ายหนองจำนวนมาก โดยเฉพาะตอนเช้าจะทำให้เปลือกตาติดกัน

    ในทารก เชื้อหนองในสามารถทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบเฉียบพลันได้ภายใน 2–7 วันหลังคลอด มักเกิดพร้อมกันทั้งสองข้างและถือว่าเป็นภาวะรุนแรง เนื่องจากเชื้อสามารถลามไปที่กระจกตาอย่างรวดเร็ว ทำให้กระจกตาแตกหรือลุกลามจนติดเชื้อทั้งลูกตาได้

  3. อาการแบบเรื้อรัง (Chronic bacterial conjunctivitis)
  4. มักเกิดจากเชื้อ Staphylococcus ผู้ป่วยอาจมีประวัติหนังตาอักเสบหรือเป็นตากุ้งยิงซ้ำ ๆ จากนั้นจะเกิดอาการระคายเคืองตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา มีสะเก็ดแห้งสีเหลืองเกาะที่ขนตาในตอนเช้า และขนตาร่วง อาการจะเป็นอยู่นานกว่า 4 สัปดาห์

    นอกจากนี้ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรังยังอาจเกิดจาก โรคริดสีดวงตา (Trachoma) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อคลาไมเดีย หรือจากโรคต่อมไขมันอักเสบที่หนังตา (Meibomitis)



การวินิจฉัย

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียต้องแยกจากโรคตาอื่นที่มีอาการคล้ายกัน ได้แก่

  • โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ – มักเป็นสองข้างพร้อมกัน มีอาการคันร่วมกับตาแดง
  • โรคเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส – มักมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต และมีขี้ตาน้อย
  • โรคม่านตาอักเสบ (Iritis) – ม่านตาหดเล็ก สู้แสงไม่ได้
  • โรคที่เกี่ยวกับกระจกตา เช่น แผลถลอก กระจกตาอักเสบ
  • โรคต้อหิน – อาจมีอาการปวดตามากและตามัว

การวินิจฉัยหาเชื้อที่เป็นสาเหตุทำโดยการย้อมและเพาะเชื้อจากขี้ตา รายที่เป็นเรื้อรังควรย้อม Giemsa เพื่อดู intracellular inclusion bodies ของเชื้อคลาไมเดียรายที่เป็นรุนแรงมาก (มีหนองคลั่ก ปวดตามาก มีไข้) อาจต้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อลุกลามเข้ากระบอกตาหรือไม่

การรักษา

ยารักษาหลักของโรคเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียคือยาปฏิชีวนะชนิดหยอดตาหรือป้ายตา ซึ่งอาจเป็น Gentamicin, Tobramycin, Neomycin, หรือ Trimethoprim + Polymixin B ส่วนยาปฏิชีวนะแบบรับประทานหรือฉีดใช้เฉพาะในกรณีที่เกิดจากเชื้อหนองใน หรือโรคริดสีดวงตา (Trachoma) เท่านั้น

การป้องกัน

การล้างมือบ่อย ๆ และไม่เอามือไปขยี้ตาเป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุด ผู้ที่กำลังเป็นโรคไม่ควรลงเล่นน้ำในสระ และควรแยกของใช้ส่วนตัวที่ต้องสัมผัสกับบริเวณหน้า ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ควรทำความสะอาดเลนส์อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

สรุป

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียแม้พบน้อยกว่าโรคที่เกิดจากไวรัส แต่มีความรุนแรงและอาจเรื้อรังได้ เชื้อที่พบบ่อยมักขึ้นกับอายุผู้ป่วย การติดต่อเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วย อาการอาจเป็นเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และต้องแยกโรคจากโรคตาอื่นที่มีอาการคล้ายกัน การรักษาส่วนใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตา และในบางกรณีจำเป็นต้องใช้ยารับประทานหรือฉีด การป้องกันที่สำคัญคือการรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อย ๆ และแยกของใช้ส่วนตัว เพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค