โรคต้อหิน (Glaucoma)
ภายในลูกตาจะมีของเหลวที่เรียกว่า aqueous humor สร้างจาก ciliary body ของเหลวนี้จะไหลผ่านรูม่านตา (pupil) เข้าสู่ห้องหน้าตา และระบายออกทางมุมตา (iridocorneal angle) ผ่านโครงสร้าง trabecular meshwork และ Schlemm’s canal การสร้างและการระบายที่สมดุลกันจะทำให้ความดันภายในลูกตา (intraocular pressure; IOP) อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่หากการระบายบกพร่องหรือถูกปิดกั้น จะทำให้ความดันตาสูงขึ้น ส่งผลให้ ขั้วประสาทตา (optic nerve head) ถูกทำลาย นำไปสู่การสูญเสียลานสายตาและการมองเห็นแบบถาวร
โรคที่เกิดจากความดันตาสูงจนมีผลต่อขั้วประสาทตานี้ เรียกว่า “ต้อหิน” พบได้ประมาณ 1–2% ของประชากรทั่วโลก โดยมีอุบัติการณ์สูงขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และพบมากที่สุดในผู้สูงอายุ สาเหตุหลักมักเกิดจากความเสื่อมตามวัย ทำให้การสร้างและการระบายน้ำในลูกตาเสียสมดุล
ชนิดของต้อหิน
โรคต้อหินแบ่งตามกลไกการเกิดได้ 2 กลุ่มใหญ่ คือ:
- ต้อหินมุมเปิด (Primary open-angle glaucoma; POAG) — เกิดจากความเสื่อมและอุดตันของ trabecular meshwork ทำให้การระบายน้ำออกจากลูกตาลดลง ความดันตาจึงค่อย ๆ สูงขึ้นอย่างช้า ๆ อาจไม่สูงเด่นชัดเท่าต้อหินมุมปิด ผู้ป่วยบางรายมีความดันตาปกติ แต่ขั้วประสาทตาก็ถูกทำลายแล้ว เรียกว่า normal-tension glaucoma
- ต้อหินมุมปิด (Angle-closure glaucoma) — เกิดจากม่านตาเบียดหรือปิดกั้นมุมระบายน้ำ ส่งผลให้น้ำไม่สามารถไหลออกได้ สาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น
- มีโครงสร้างตาที่มุมแคบโดยกำเนิด
- เลนส์ตาหนาขึ้นตามอายุ ดันม่านตาไปด้านหน้า
- ความดันหลังม่านตาสูงกว่าด้านหน้า ทำให้ขอบม่านตากดแนบกับเลนส์หรือกระจกตา
เมื่อโครงสร้างเหล่านี้ทำให้มุมปิด การระบายหยุดลงทันที ความดันตาจึงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือค่อย ๆ เป็นเรื้อรัง
ตารางเปรียบเทียบระหว่างต้อหินมุมเปิดและต้อหินมุมปิด
หัวข้อ | ต้อหินมุมเปิด (Open-angle glaucoma) | ต้อหินมุมปิด (Angle-closure glaucoma) |
อุบัติการณ์ | 90-95% | 5-10% |
กลไกการเกิด | มุมตากว้างปกติ แต่ trabecular meshwork เสื่อมทำให้น้ำระบายออกน้อยลง | มุมตาแคบหรือปิด น้ำไหลออกไม่ได้ ความดันตาสูงขึ้นทันที |
การดำเนินโรค | ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาหลายปี | เกิดเฉียบพลัน หรือเป็น ๆ หาย ๆ |
ปัจจัยเสี่ยง | อายุมากกว่า 40 ปี, ประวัติครอบครัว, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, สายตาสั้นมาก, ใช้ยาสเตียรอยด์นาน | ลูกตาเล็ก, สายตายาวมาก, ม่านตาหนา, เลนส์หนา, พบมากในผู้หญิง คนเอเชีย และผู้สูงอายุ |
อาการ | ไม่มีอาการในระยะแรก การมองเห็นรอบนอกแคบลงเรื่อย ๆ | ปวดตาเฉียบพลัน ตาแดง ตามัว เห็นแสงรุ้ง คลื่นไส้อาเจียน |
วิธีรักษา | ยาหยอดตาลดความดันตา เลเซอร์ trabeculoplasty หรือผ่าตัด | รักษาฉุกเฉินด้วยยาลดความดันตา และเลเซอร์ iridotomy เพื่อเปิดมุม |
พยากรณ์โรค | หากพบและรักษาเร็ว สามารถชะลอการสูญเสียการมองเห็นได้ | หากรักษาทัน การมองเห็นอาจกลับคืนบางส่วน แต่ถ้าช้าจะสูญเสียถาวร |
การป้องกัน | ตรวจตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้มีปัจจัยเสี่ยง | หากพบมุมแคบ ควรทำเลเซอร์ iridotomy เพื่อป้องกัน |
อาการ
อาการแตกต่างกันตามชนิดของต้อหิน:
- ต้อหินมุมเปิด: ระยะแรกมักไม่มีอาการ การมองเห็นด้านข้างค่อย ๆ แคบลง (tunnel vision) จนผู้ป่วยรู้ตัวอีกทีก็มักสูญเสียการมองเห็นไปมากแล้ว
- ต้อหินมุมปิด: แบบเฉียบพลันจะมีอาการรุนแรง ได้แก่ ปวดตา ตาแดง ตามัวทันที เห็นแสงรุ้งรอบไฟ คลื่นไส้อาเจียน และความดันตาสูงมาก ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจทำให้ตาบอดถาวรได้ อาการมักเกิดขึ้นเมื่อม่านตาขยาย เช่น อยู่ในที่มืดหรือได้รับยาขยายม่านตา
ในกรณี ต้อหินมุมปิดเรื้อรัง ขั้วประสาทตาจะถูกทำลายทีละน้อย ลักษณะคล้ายต้อหินมุมเปิด
การวินิจฉัย
แพทย์จะตรวจหลายวิธีร่วมกัน เช่น:
- วัดความดันตา (Tonometry)
- ตรวจขั้วประสาทตา (Ophthalmoscopy) เพื่อดูการขุดลึก (cupping)
- ตรวจลานสายตา (Visual field test) ประเมินการสูญเสียการมองเห็นรอบนอก
- ถ่ายภาพเส้นใยประสาทตา (OCT – Optical coherence tomography)
- ตรวจมุมตา (Gonioscopy) เพื่อจำแนกชนิดของต้อหิน
- ประเมินความลึกของ anterior chamber ด้วย slit-lamp หรือ ultrasound biomicroscopy
การวินิจฉัยแยกโรค
โรคที่มีลักษณะคล้ายต้อหินและควรแยกออก ได้แก่:
โรค |
ลักษณะเด่นที่ต่างจากต้อหิน |
ต้อกระจก (Cataract) | ตามัวจากเลนส์ขุ่น ไม่ใช่ขั้วประสาทตาถูกทำลาย |
โรคจอตาเสื่อม (AMD) | การมองเห็นตรงกลางเสีย ไม่ใช่ลานสายตารอบนอก |
Optic neuropathy อื่น ๆ | มักสัมพันธ์กับเบาหวานหรือการขาดเลือด ไม่เกี่ยวกับ IOP |
ความดันในกะโหลกศีรษะสูง | ขั้วประสาทตาบวม ไม่ใช่ขุดลึก |
ตาอักเสบ/ติดเชื้อ | ทำให้ตาแดงและมัวได้ แต่มีประวัติการอักเสบร่วม |
การรักษา
เป้าหมายคือการลดความดันตาเพื่อป้องกันการเสื่อมของขั้วประสาทตา วิธีรักษาได้แก่:
- ยา: ยาหยอดลดความดันตา เช่น prostaglandin analogs (latanoprost), beta-blockers (timolol), alpha-agonists, carbonic anhydrase inhibitors
- เลเซอร์: เช่น Laser trabeculoplasty (ใช้กับมุมเปิด), Laser iridotomy/iridoplasty (ใช้กับมุมปิด)
- การผ่าตัด: เช่น Trabeculectomy, การใส่ท่อระบายน้ำตา (tube shunt), หรือเทคนิคใหม่อย่าง MIGS (minimally invasive glaucoma surgery)
- ป้องกันตาอีกข้าง: ในรายที่ต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน มักแนะนำให้ทำ Laser iridotomy ในตาอีกข้างด้วย
- ติดตามเป็นระยะ: ตรวจ IOP, ลานสายตา และ OCT อย่างต่อเนื่อง
พยากรณ์โรค
หากตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะแรก สามารถควบคุมความดันตาและชะลอการสูญเสียการมองเห็นได้ แต่หากวินิจฉัยช้า ความเสียหายของขั้วประสาทตาที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่สามารถฟื้นฟูได้
การป้องกัน
แม้ไม่สามารถป้องกันการเกิดต้อหินได้โดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงและตรวจพบเร็วขึ้นโดย:
- ตรวจสุขภาพตาสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหินควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง
- หากตรวจพบมุมตาแคบ แพทย์อาจแนะนำให้ทำ peripheral iridotomy เพื่อป้องกันมุมปิดเฉียบพลัน
- หลีกเลี่ยงยาขยายม่านตาหรือยาที่มีความเสี่ยงทำให้มุมปิด โดยไม่ปรึกษาแพทย์
- หากมีอาการฉับพลัน เช่น ปวดตา ตามัว คลื่นไส้ ควรรีบไปโรงพยาบาล
- หลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น
- ดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิต
สรุป
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นถาวร เกิดจากการทำลายขั้วประสาทตาที่สัมพันธ์กับความดันตาผิดปกติ ระยะแรกมักไม่มีอาการ ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงควรตรวจตาเป็นประจำ แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่การวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถชะลอโรคและปกป้องคุณภาพชีวิตผู้ป่วยได้