โรคโครน (Crohn's Disease)
โรคโครนเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน (Inflammatory Bowel Disease, IBD) โดยมีลักษณะเด่นคือการอักเสบที่สามารถทะลุได้ลึกตลอดชั้นผนังลำไส้ และเกิดได้ตั้งแต่ช่องปากจนถึงทวารหนัก แต่พบบ่อยที่สุดที่ไอเลียมส่วนปลาย (terminal ileum) และลำไส้ใหญ่ด้านขวา การอักเสบมักเป็นแบบไม่ต่อเนื่อง (เป็นหย่อม ๆ) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องเสียเรื้อรัง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
แม้ว่าโรคโครนจะพบบ่อยในประเทศตะวันตก แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรค พบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นจนถึงอายุประมาณ 30 ปี
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุที่แท้จริงของโรคโครนยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่:
- ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน: ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อหรือแบคทีเรียในลำไส้มากเกินไป ทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อลำไส้ของตนเอง
- พันธุกรรม: มีแนวโน้มพบมากขึ้นในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคโครน
- ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรม: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้โรครุนแรงขึ้น นอกจากนี้อาหารแปรรูปสูง การใช้ยา NSAIDs และความเครียดเรื้อรัง ก็อาจเป็นตัวกระตุ้น
อาการ
อาการของโรคโครนแตกต่างกันไปตามตำแหน่งและความรุนแรงของการอักเสบ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่:
- ปวดท้องหรือปวดเกร็ง: มักเป็นอาการเริ่มต้น
- ท้องเสียเรื้อรัง: อาจมีมูกหรือเลือดปน
- มีไข้และอ่อนเพลีย: เนื่องจากการอักเสบเรื้อรัง
- น้ำหนักลดและภาวะทุพโภชนาการ: จากการดูดซึมสารอาหารลดลง
- ภาวะแทรกซ้อน: เช่น แผลร้อนในปาก แผลรอบทวารหนัก (fistula) หรือฝี
- อาการนอกลำไส้: เช่น ข้ออักเสบ ผื่นผิวหนัง ตาอักเสบ นิ่วในไตหรือท่อน้ำดี
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคโครนอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การส่องกล้องและเก็บชิ้นเนื้อ รวมถึงการถ่ายภาพทางรังสี โดยต้องตัดสาเหตุอื่นก่อน
- ตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
- CBC: ตรวจภาวะโลหิตจาง, ค่า CRP/ESR มักสูง, โปรตีนและอัลบูมินต่ำ
- อุจจาระ: Fecal calprotectin สูงบ่งชี้การอักเสบ, ตรวจหาเชื้อ/พยาธิ และ C. difficile
- ตรวจการขาดสารอาหาร: ธาตุเหล็ก, วิตามิน B12 (โดยเฉพาะเมื่อไอเลียมเสียหาย), วิตามิน D
- ส่องกล้องลำไส้ใหญ่และไอเลียม (Ileocolonoscopy) พร้อมเก็บชิ้นเนื้อ:
มักพบแผลยาวลึกเป็นร่องตามแนวลำไส้ สลับกับเยื่อบุที่ปกติและยกนูน ลักษณะคล้ายก้อนหินปูถนน (cobblestone appearance) และมีรอยโรคแบบ skip lesions พยาธิวิทยาอาจพบ non-caseating granuloma (แต่พบไม่ทุกราย)
- ภาพถ่ายรังสี: เช่น MR enterography หรือ CT enterography ใช้ประเมินความยาวและความหนาของรอยโรค รวมถึงการตีบตัน ทวาร และฝี
- การประเมินก่อนเริ่มยา: คัดกรองวัณโรคแฝง ตรวจไวรัสตับอักเสบบี/ซี และอัปเดตการฉีดวัคซีน
การวินิจฉัยแยกโรค
ภาวะ |
ลักษณะเด่น |
ตัวช่วยแยกโรค/การทดสอบ |
ลำไส้อักเสบชนิดแผล (Ulcerative colitis) |
จำกัดอยู่ที่ลำไส้ใหญ่และไส้ตรง อักเสบเฉพาะชั้นเยื่อบุ (mucosa) |
ส่องกล้องพบการอักเสบต่อเนื่อง ไม่มี skip lesion; ชิ้นเนื้อไม่พบ granuloma |
ลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ |
อาการเฉียบพลัน ถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้ |
เพาะเชื้ออุจจาระ ตรวจ C. difficile และปรสิต |
วัณโรคลำไส้ |
พบบริเวณ ileocecal แผลเป็นวงแหวน ต่อมน้ำเหลืองมีลักษณะ caseation |
ประวัติวัณโรค, ผลตรวจภูมิ TB, CT ช่องท้องพบต่อมน้ำเหลืองโต, ชิ้นเนื้อพบ caseating granuloma, ตรวจเพาะเชื้อหรือ PCR เพื่อยืนยัน TB |
Behçet’s disease (ลำไส้) |
มีแผลในปากและอวัยวะเพศ เป็นซ้ำบ่อย อาจพบแผลเดี่ยวลึกในลำไส้ |
อาศัยเกณฑ์ทางคลินิก ตรวจหลอดเลือดและตา |
NSAID enteropathy |
ใช้ยา NSAIDs ต่อเนื่อง ทำให้เกิดแผลหรือตีบในลำไส้เล็ก |
หยุดยาแล้วอาการดีขึ้น และไม่มีฝีที่ทวารหนัก |
ลำไส้ขาดเลือด (Ischemic colitis) |
พบบ่อยในผู้สูงอายุ ปวดท้องเฉียบพลัน ถ่ายเป็นเลือด |
ภาพรังสีและส่องกล้องพบการอักเสบตามตำแหน่ง watershed และมีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือด |
ลำไส้แปรปรวน (IBS) |
ปวดท้องสัมพันธ์กับการขับถ่าย ไม่มีหลักฐานการอักเสบ |
ค่า CRP และ Fecal calprotectin ปกติ ส่องกล้องปกติ |
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง/เนื้องอกลำไส้เล็ก |
น้ำหนักลดชัดเจน ลำไส้ตีบตันเรื้อรัง |
อาศัยภาพถ่ายรังสี ส่องกล้องลำไส้เล็ก และการตรวจชิ้นเนื้อ |
การรักษา
เป้าหมายของการรักษาคือการลดการอักเสบ ควบคุมอาการ และช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค:
- การรักษาด้วยยา: ใช้ยาสเตียรอยด์ ยาปรับภูมิคุ้มกัน ยากลุ่มชีวภาพ (Biologics) เพื่อยับยั้งโปรตีนที่ก่อการอักเสบ และอาจใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อมีฝีหรือติดเชื้อ
- การปรับอาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้น เช่น กากใยสูง อาหารรสจัด หรือไขมันสูง ในเด็กอาจใช้ exclusive enteral nutrition ช่วยควบคุมโรค รวมถึงการเสริมธาตุเหล็ก วิตามิน B12 วิตามิน D และแคลเซียมเมื่อจำเป็น
- การผ่าตัด: ใช้ในกรณีมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ตีบ ลำไส้ทะลุ หรือไม่ตอบสนองต่อยา โดยการผ่าตัดไม่ใช่การรักษาหายขาด และโรคอาจกลับมาเป็นซ้ำได้
- การลดปัจจัยเสี่ยง: หยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงยา NSAIDs
- การฉีดวัคซีนก่อนเริ่มยากดภูมิ: เช่น HBV, HPV, Influenza, Pneumococcal, VZV
- การติดตามระยะยาว: ติดตามอาการร่วมกับการตรวจ CRP หรือ fecal calprotectin เป็นระยะ ส่องกล้องหรือทำ CT ซ้ำเพื่อประเมินการฟื้นตัวของเยื่อบุ และเฝ้าระวังมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามแนวทาง
พยากรณ์โรค
โรคโครนเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้อาการสงบได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติหากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างไรก็ตาม โรคมีโอกาสกำเริบและต้องดูแลต่อเนื่องตลอดชีวิต
ปัจจัยพยากรณ์ไม่ดี: เริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อย, สูบบุหรี่, โรคบริเวณทวารหนัก, รอยโรคกว้าง/ทะลุผนัง, ต้องใช้สเตียรอยด์ซ้ำบ่อย
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย: ลำไส้ตีบตัน, ฝีทวารหนัก, ภาวะขาดสารอาหาร, นิ่วในไต/ถุงน้ำดี, กระดูกพรุนจากการใช้สเตียรอยด์หรือการอักเสบเรื้อรัง รวมถึงความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เพิ่มขึ้น
การป้องกัน
เนื่องจากสาเหตุของโรคยังไม่แน่ชัดจึงยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคนี้ได้โดยตรง แต่การปรับพฤติกรรมบางอย่างสามารถช่วยลดความเสี่ยงหรือบรรเทาอาการได้ เช่น การงดสูบบุหรี่ การหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ และการจัดการความเครียด
สรุป
โรคโครนเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปกติ หากสงสัยว่ามีอาการของโรคควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ