โรคจอตาเสื่อม (Retinitis pigmentosa, RP)

เป็นโรคพันธุกรรมของจอประสาทตาที่พบได้ไม่บ่อย ประมาณ 1 ใน 4,000 คนทั่วโลก และสามารถเกิดได้ในทุกเพศและทุกเชื้อชาติ โดยมักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุเด็กหรือวัยรุ่น แต่บางรายอาจมีอาการช้ากว่าในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น

สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการทำงานของเซลล์รับแสงในจอประสาทตา (rod และ cone cells) ทำให้เซลล์เหล่านี้เสื่อมสภาพและตายลง ส่งผลต่อการมองเห็น โดยสามารถถ่ายทอดพันธุกรรมได้หลายรูปแบบ เช่น Autosomal dominant, Autosomal recessive, X-linked นอกจากนี้ยังอาจเกิดในบริบทของโรคที่เกี่ยวกับระบบอื่น ๆ เช่น โรค Usher syndrome ที่มีทั้ง RP และการสูญเสียการได้ยิน

อาการ

อาการเริ่มต้นมักไม่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยอาจสังเกตได้ดังนี้:

  • มองเห็นในที่มืดได้ไม่ดี (Night blindness)
  • การมองเห็นรอบข้างค่อย ๆ แคบลง (Tunnel vision)
  • สายตาผิดปกติในเรื่องสีหรือความสว่าง
  • บางรายอาจมีอาการแสงสะท้อนหรือแสงสว่างจ้าเกิดรบกวนสายตา

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัย RP ได้จาก:

  • การซักประวัติและตรวจร่างกายทางตา
  • ตรวจจอประสาทตาด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Fundoscopy) พบลักษณะจุดเม็ดสีสีดำ (bone spicule pigmentation) บริเวณจอประสาทตา
  • ตรวจวัดการทำงานของเซลล์รับแสง (Electroretinography, ERG) พบการตอบสนองที่ลดลง
  • ตรวจภาพ OCT (Optical Coherence Tomography) เพื่อประเมินโครงสร้างจอประสาทตา
  • การทดสอบทางพันธุกรรมเพื่อตรวจหาความผิดปกติของยีน


การวินิจฉัยแยกโรค

ควรแยกโรค RP ออกจากโรคตาอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น:

  • จอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-related macular degeneration)
  • จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic retinopathy)
  • โรคตาอักเสบเรื้อรัง (Chronic uveitis)
โรค ลักษณะอาการสำคัญ ผลตรวจจอประสาทตา จุดเด่นในการวินิจฉัย
Retinitis pigmentosa (RP) - มองไม่เห็นในที่มืด
- ลานสายตาแคบลง (tunnel vision)
พบ bone spicule pigmentation, เส้นเลือดจอประสาทตาบางลง การตรวจ ERG ตอบสนองลดลงชัดเจน
Age-related macular degeneration (AMD) - การมองเห็นกลางภาพบกพร่อง
- ผู้สูงอายุ
พบ drusen หรือเลือดออก/พังผืดที่ macula มีอาการตรงจุดกลางภาพ ไม่ใช่รอบข้าง
Diabetic retinopathy - ผู้ป่วยเบาหวาน
- การมองเห็นพร่ามัว ไม่จำเพาะ
พบ microaneurysm, จุดเลือดออก, exudates ประวัติเบาหวานร่วมกับการตรวจพบรอยโรคจำเพาะ
Chronic uveitis - ตามัวร่วมกับอาการปวดตา แสบตา
- อาจมีแสงแฟลชหรือเห็นจุดดำลอย
พบการอักเสบเรื้อรังใน vitreous และจอประสาทตา มีอาการอักเสบและปวดตาชัดเจน ต่างจาก RP

การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด RP การรักษามุ่งเน้นไปที่การชะลอความเสื่อมของจอประสาทตาและปรับปรุงคุณภาพชีวิต เช่น:

  • การใช้วิตามิน A และสารต้านอนุมูลอิสระภายใต้คำแนะนำแพทย์
  • การใช้แว่นกันแดดเพื่อลดความเสียหายจากแสง UV
  • การช่วยเหลือด้านสายตา เช่น แว่นขยาย, อุปกรณ์ช่วยอ่านหนังสือ
  • การพิจารณาการปลูกถ่ายอุปกรณ์เรตินาหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น retinal implants, gene therapy ในกลุ่มทดลอง

พยากรณ์โรค

โรค RP เป็นโรคที่ค่อย ๆ เสื่อม การมองเห็นกลางวันมักยังคงอยู่ช่วงแรก แต่สายตารอบข้างลดลงอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยบางรายสามารถรักษาการมองเห็นได้หลายสิบปี แต่ในรายรุนแรงอาจสูญเสียการมองเห็นเกือบทั้งหมดในวัยผู้ใหญ่

การป้องกัน

เนื่องจาก RP เป็นโรคทางพันธุกรรม จึงไม่มีวิธีป้องกันได้โดยตรง แต่การตรวจพันธุกรรมก่อนการมีบุตรอาจช่วยลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดยีนผิดปกติให้รุ่นต่อไปได้

สรุป

โรคจอตาเสื่อม (Retinitis pigmentosa) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์รับแสงในจอประสาทตาเสื่อมลง ส่งผลต่อการมองเห็นในที่มืดและการมองเห็นรอบข้าง แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การดูแลสุขภาพตา ปรับสภาพแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีช่วยสายตาสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การติดตามอาการและปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อจัดการโรคได้อย่างเหมาะสม