โรคฮาชิโมโตะ (Hashimoto's thyroiditis)

โรคฮาชิโมโตะ (Hashimoto’s thyroiditis) เป็นโรคต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune thyroiditis) ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) ในผู้ใหญ่ โดยร่างกายจะสร้างแอนติบอดีที่ทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ค่อย ๆ เสื่อมลงจนผลิตฮอร์โมนได้ไม่เพียงพอ

ชื่อ “Hashimoto’s thyroiditis” มาจากชื่อของแพทย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Dr. Hakaru Hashimoto (ฮะคารุ ฮาชิโมโตะ) ซึ่งได้อธิบายโรคนี้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1912 จากการศึกษาทางพยาธิวิทยาในผู้ป่วยสี่รายที่มีต่อมไทรอยด์โตเรื้อรัง โดยพบการแทรกของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์จำนวนมากในเนื้อเยื่อไทรอยด์ ซึ่งต่อมาจึงได้รับการตั้งชื่อว่า “Hashimoto’s disease” เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

โรคฮาชิโมโตะพบได้บ่อยในประเทศที่มีการบริโภคไอโอดีนเพียงพอหรือมากเกินไป โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5–10 เท่า และมักเกิดในช่วงอายุ 30–60 ปี โรคนี้อาจเกิดร่วมกับโรคภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 หรือโรคลูปัส

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างแอนติบอดีมาทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะแอนติบอดีต่อเอนไซม์ไทรอยด์เพอร์ออกซิเดส (anti-TPO) และแอนติบอดีต่อไทรโกลบูลิน (anti-Tg) ทำให้เนื้อเยื่อไทรอยด์เกิดการอักเสบและค่อย ๆ ถูกทำลาย

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

  • เพศหญิง
  • อายุ 30–60 ปี
  • ประวัติครอบครัวเป็นโรคต่อมไทรอยด์หรือโรคภูมิคุ้มกัน
  • การได้รับไอโอดีนมากเกินไป
  • การได้รับรังสีบริเวณลำคอ
  • การตั้งครรภ์หรือหลังคลอด (อาจกระตุ้นให้โรคแสดงออก)
  • ความเครียดเรื้อรัง

อาการ

ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการชัดเจน หรืออาจมีภาวะไทรอยด์ทำงานเกินชั่วคราว (Hashitoxicosis) ก่อนที่ต่อมไทรอยด์จะเสื่อมจนเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำในระยะต่อมา อาการที่พบได้ ได้แก่:

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  • หนาวง่าย
  • ผิวแห้ง ผมร่วง
  • เสียงแหบ หน้าบวม
  • ท้องผูก
  • ซึมเศร้า ความจำลดลง
  • ประจำเดือนมามากหรือรอบเดือนยาว
  • คอโต (goiter) ซึ่งอาจนิ่มหรือแข็งได้


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคฮาชิโมโตะอาศัยการตรวจเลือดและตรวจภาพต่อมไทรอยด์ ร่วมกับการซักประวัติและตรวจร่างกาย

การตรวจที่สำคัญ

  • การตรวจระดับฮอร์โมน: พบค่า TSH สูง และ Free T4 ต่ำ (บ่งชี้ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ)
  • การตรวจแอนติบอดี: พบ anti-TPO หรือ anti-Tg เป็นบวก
  • อัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์: พบขนาดโต เนื้อเยื่อไม่สม่ำเสมอ มีลักษณะ hypoechoic
  • การตรวจชิ้นเนื้อ (ในบางกรณี): พบการอักเสบและการแทรกของลิมโฟไซต์จำนวนมาก

การวินิจฉัยแยกโรคของภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ

โรค ลักษณะเฉพาะ ผลตรวจแอนติบอดี ระดับ TSH / Free T4
Hashimoto’s thyroiditis ต่อมโตหรือลดลงในภายหลัง, ผิวไม่เรียบ, มักมีประวัติครอบครัวโรคภูมิคุ้มกัน anti-TPO / anti-Tg บวก TSH สูง, Free T4 ต่ำ
Postpartum thyroiditis เกิดหลังคลอด, มีระยะไทรอยด์เกินตามด้วยไทรอยด์ต่ำ anti-TPO อาจบวก TSH เปลี่ยนตามระยะ
Iodine deficiency ต่อมโต, ไม่มีแอนติบอดี, พบในพื้นที่ขาดไอโอดีน ลบ TSH สูง, Free T4 ต่ำ
Drug-induced hypothyroidism ประวัติใช้ยากลุ่ม amiodarone, lithium ลบ TSH สูง, Free T4 ต่ำ

การรักษา

การรักษาโรคฮาชิโมโตะมุ่งเน้นไปที่การทดแทนฮอร์โมนไทรอยด์และติดตามการทำงานของต่อมไทรอยด์อย่างต่อเนื่อง

  • การให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน: ใช้ยา Levothyroxine เพื่อรักษาระดับฮอร์โมนให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • การติดตามผลเลือด: ตรวจระดับ TSH ทุก 6–8 สัปดาห์ในระยะเริ่มต้น และทุก 6–12 เดือนหลังคงที่
  • การผ่าตัด: พิจารณาในกรณีที่ต่อมโตมากจนกดทับหลอดลมหรือหลอดอาหาร
  • การจัดการร่วมกับโรคภูมิคุ้มกันอื่น: เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 หรือโรคแพ้ตนเองอื่น ๆ


พยากรณ์โรค

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีพยากรณ์โรคที่ดี หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาด้วยฮอร์โมนไทรอยด์อย่างเหมาะสม สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่อาจต้องรับประทานยาทดแทนตลอดชีวิต โรคไม่ติดต่อกันและไม่พัฒนาเป็นมะเร็งในกรณีทั่วไป

การป้องกัน

โรคฮาชิโมโตะไม่สามารถป้องกันได้โดยตรงเนื่องจากเป็นโรคภูมิคุ้มกัน แต่สามารถลดความเสี่ยงและชะลอการดำเนินโรคได้โดย:

  • หลีกเลี่ยงการบริโภคไอโอดีนมากเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • ควบคุมความเครียด
  • ตรวจสุขภาพต่อมไทรอยด์เป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้

สรุป

โรคฮาชิโมโตะ (Hashimoto’s thyroiditis) เป็นภาวะไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีทำลายต่อมไทรอยด์ จนทำให้เกิดภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ โรคนี้พบมากในผู้หญิงวัยกลางคน การรักษาหลักคือการให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเมื่อได้รับการดูแลที่เหมาะสม