โรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis)
ALS เป็นโรคของระบบประสาทสั่งการ (motor neuron disease) ที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการทั้งในสมอง (upper motor neuron) และในไขสันหลัง/ก้านสมอง (lower motor neuron) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ และเกร็งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทบต่อการหายใจและการกลืน
โรคนี้พบได้ประมาณ 1–2 รายต่อประชากร 100,000 คนต่อปี โดยมักเริ่มในช่วงอายุ 55–65 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นชนิด sporadic (ราว 90–95%) และที่เหลือเป็นชนิด familial
สาเหตุไม่ทราบชัด แต่พบยีนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ C9orf72, SOD1, TARDBP, และ FUS ทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนผิดรูป เช่น TDP-43, กลูตาเมตเป็นพิษต่อประสาท, ไมโตคอนเดรียทำงานผิดปกติ, และการอักเสบของจุลประสาท ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่:
- อายุที่มากขึ้น และเพศชาย
- การสูบบุหรี่
- การสัมผัสสารพิษบางชนิดหรือยาฆ่าแมลง (แม้หลักฐานยังไม่ชัดเจน)
- ประวัติบาดเจ็บศีรษะรุนแรง (ยังคงถกเถียง)
- ประวัติครอบครัวเป็นโรค Motor Neurone Disease หรือ Frontotemporal Dementia
อาการและการดำเนินโรค
ALS แสดงอาการจากความเสื่อมของทั้ง upper motor neuron (UMN) และ lower motor neuron (LMN) ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงและลีบในหลายส่วนของร่างกาย อาการจะค่อย ๆ ก้าวหน้า แต่ประสาทรับความรู้สึก เช่น การมองเห็น การได้ยิน และการรับกลิ่น ยังคงปกติ
ลักษณะการเริ่มต้นของโรคมีหลายแบบ เช่น:
- เริ่มที่แขนหรือขา (limb onset)
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ถนัด หยิบของหล่น หรือเดินสะดุดง่าย
- กล้ามเนื้อลีบ มีอาการสั่นพริ้ว (fasciculation)
- เกิดตะคริวหรือปวดกล้ามเนื้อ
- อาการจาก UMN: กล้ามเนื้อเกร็ง รีเฟล็กซ์ไว และมี Babinski sign
- เริ่มที่กล้ามเนื้อใบหน้าและการกลืน (bulbar onset)
- พูดไม่ชัด เสียงขึ้นจมูก
- กลืนลำบาก สำลักง่าย มีน้ำลายมาก
- อารมณ์แปรปรวน เช่น หัวเราะหรือร้องไห้ง่าย (pseudobulbar affect)
- เริ่มที่ระบบหายใจหรืออาการอื่น ๆ
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะตอนนอนราบหรือกลางคืน
- ง่วงกลางวันง่ายจากภาวะหายใจไม่พอ
- ปัญหาด้านความคิดและพฤติกรรม พบการทับซ้อนกับ frontotemporal dementia (FTD) ประมาณ 10–15% และพบความผิดปกติทางความคิด/พฤติกรรมเล็กน้อยในผู้ป่วยสูงถึง ~30–50%
การวินิจฉัยโรค
ALS เป็นโรคที่วินิจฉัยทางคลินิก โดยอาศัยรูปแบบอาการและสัญญาณของ UMN + LMN ในหลายบริเวณ ร่วมกับการตัดโรคอื่น ๆ ที่อาจมีลักษณะคล้ายกัน
การประเมินทางคลินิก
- ตรวจระบบประสาท: ค้นหาสัญญาณ UMN+LMN
- ติดตามอาการด้วย ALSFRS-R เพื่อประเมินสมรรถภาพและอัตราการเสื่อม
- ทดสอบสมรรถภาพปอด (เช่น FVC, SNIP) เพื่อติดตามการหายใจ
การทดสอบเสริม
- EMG/NCS: แสดงหลักฐานการเสื่อมของเส้นประสาทสั่งการทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
- MRI สมอง/ไขสันหลัง: ใช้ตัดโรคเลียนแบบ เช่น myelopathy, เนื้องอก หรือ syrinx
- ตรวจเลือด: คัดกรองโรคอื่น เช่น ภาวะไทรอยด์ผิดปกติ ขาดวิตามินบี12 HIV ฯลฯ (บางรายพบค่า CK สูงเล็กน้อย)
- ตรวจพันธุกรรม: พิจารณาในผู้ที่มีประวัติครอบครัว อายุเริ่มน้อย หรือเพื่อการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม
โรคที่อาจเลียนแบบ ALS
- Multifocal motor neuropathy (MMN)
- คอเสื่อมกดไขสันหลัง หรือ radiculomyelopathy
- Inclusion body myositis (IBM)
- Myasthenia gravis หรือความผิดปกติของกล้ามเนื้อคอหอย
- ไทรอยด์ผิดปกติ ขาดวิตามินบี12 หรือโรคติดเชื้อบางชนิด
การรักษา ALS
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้หายขาด การดูแลมุ่งเน้นไปที่การ “ชะลอการเสื่อม” และ “การดูแลประคับประคองแบบสหสาขา” เพื่อยืดอายุและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
1. การรักษาที่ชะลอโรค
- Riluzole: ยืดอายุได้เล็กน้อย เป็นมาตรฐานในหลายประเทศ
- Edaravone: อาจช่วยลดการเสื่อมสมรรถภาพในผู้ป่วยบางกลุ่ม
- การบำบัดพันธุกรรม เช่น antisense oligonucleotides สำหรับการกลายพันธุ์ SOD1 (ใช้เฉพาะกรณี)
- การทดลองทางคลินิก: ควรพิจารณาเข้าร่วมเพื่อเข้าถึงแนวทางใหม่ ๆ
2. การดูแลประคับประคองแบบสหสาขา
การหายใจ
- เครื่องช่วยหายใจแบบไม่ใส่ท่อ (NIV/BiPAP): เพิ่มคุณภาพชีวิตและยืดอายุ
- เครื่องดูดเสมหะ เครื่องสั่นทรวงอก และเครื่องช่วยไอ
- การเจาะคอใส่ท่อ: พิจารณาเป็นรายบุคคล
การกลืนและโภชนาการ
- ปรับเนื้ออาหาร ฝึกเทคนิคกลืน และทำงานร่วมกับนักกิจกรรมบำบัด
- PEG (สายให้อาหารทางหน้าท้อง): ใช้เมื่อกลืนลำบากหรือน้ำหนักลด
การจัดการอาการร่วม
- กล้ามเนื้อเกร็ง: ใช้ baclofen, tizanidine หรือโบทูลินัมท็อกซิน
- ตะคริว/ปวด: ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือ mexiletine ตามข้อบ่งชี้
- น้ำลายมาก: ยาต้านโคลิเนอร์จิก โบทูลินัมท็อกซิน หรือฉายรังสีต่อมพารอติด
- อารมณ์ผิดปกติ (pseudobulbar affect): ใช้ dextromethorphan/quinidine หรือยากลุ่ม SSRI/TCA
- สุขภาพจิต: ดูแลภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลอย่างเหมาะสม
กายอุปกรณ์และการสื่อสาร
- กายภาพบำบัดและอุปกรณ์ช่วยพยุง
- รถเข็นไฟฟ้าหรือเครื่องช่วยเดินในระยะโรคที่ก้าวหน้า
- อุปกรณ์สื่อสารเสริม (AAC) เช่น อุปกรณ์ติดตามดวงตาและเครื่องสังเคราะห์เสียง
การวางแผนล่วงหน้า
- พูดคุยเป้าหมายการรักษาตั้งแต่ต้น
- วางแผนการดูแลระยะท้ายและการดูแลแบบประคับประคอง
พยากรณ์โรค
ALS เป็นโรคที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปผู้ป่วยมีอายุขัยมัธยฐานประมาณ 2–5 ปี หลังเริ่มอาการ แต่ความก้าวหน้าแตกต่างกันไป ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพยากรณ์โรคที่ดีกว่า ได้แก่:
- เริ่มอาการที่แขนหรือขา (ไม่ใช่ bulbar)
- อายุเริ่มต้นน้อยกว่า และโรคดำเนินช้ากว่า
- ได้รับการดูแลแบบสหสาขา NIV และโภชนาการที่เหมาะสม
สาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดคือภาวะหายใจล้มเหลวและการติดเชื้อทางเดินหายใจ
การป้องกันโรค
เนื่องจากสาเหตุของ ALS ส่วนใหญ่ยังไม่ชัดเจน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม สามารถลดความเสี่ยงและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ด้วยการ:
- การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม: สำหรับผู้ที่มีประวัติครอบครัว
- เลิกสูบบุหรี่: หลักฐานบางส่วนพบว่าการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ: เช่น โลหะหนักและยาฆ่าแมลง
- ดูแลสุขภาพทั่วไป: รับประทานอาหารสมดุล ออกกำลังกาย และพักผ่อนเพียงพอ
- เฝ้าระวังอาการผิดปกติ: หากมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง กลืนลำบาก หรือพูดไม่ชัด ควรพบแพทย์ระบบประสาท
หมายเหตุ: ข้อแนะนำเหล่านี้ช่วยส่งเสริมสุขภาพและอาจลดปัจจัยเสี่ยง แต่ยังไม่สามารถป้องกัน ALS ได้โดยตรง
สรุป
ALS เป็นโรคเสื่อมของเซลล์ประสาทสั่งการที่ส่งผลต่อทั้ง UMN และ LMN ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ และเกร็งที่ค่อย ๆ ก้าวหน้า การวินิจฉัยอาศัยการประเมินทางคลินิกและการทดสอบเสริม เช่น EMG และ MRI ร่วมกับการตัดโรคเลียนแบบ การรักษาในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การชะลอโรคด้วยยาเฉพาะบางชนิด ควบคู่กับการดูแลประคับประคองแบบสหสาขา เช่น การช่วยหายใจแบบไม่ใส่ท่อ การดูแลโภชนาการ การจัดการอาการร่วม และการสนับสนุนด้านการสื่อสาร การดูแลที่ครอบคลุมสามารถช่วยยืดอายุและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ แม้ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ทำให้หายขาดก็ตาม