โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดแผล (Ulcerative colitis, UC)

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดแผล หรือ UC เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุผิวลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ทำให้เกิดแผลตื้นและมีเลือดออก อาการสำคัญที่พบคือท้องเสียมีเลือดปนและปวดท้อง จัดอยู่ในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease: IBD) เช่นเดียวกับโรคโครน แต่แตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะการอักเสบและตำแหน่งที่เกิดโรค

UC พบได้บ่อยกว่าโรคโครนเล็กน้อย โดยมีอุบัติการณ์สูงในยุโรปและอเมริกาเหนือ ราว 5–20 รายต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ส่วนในเอเชียรวมถึงประเทศไทยแม้จะพบได้น้อยกว่า แต่แนวโน้มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักเริ่มมีอาการช่วงอายุ 15–30 ปี และอาจพบได้อีกครั้งในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

แม้สาเหตุของ UC ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่

  • พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็น IBD จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน: ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อจุลชีพในลำไส้มากเกินไปจนทำให้เกิดการอักเสบ
  • สิ่งแวดล้อม: เช่น การรับประทานอาหารไขมันสูง การสูบบุหรี่ การเลิกบุหรี่ (paradoxical effect) รวมถึงการใช้ยาบางชนิด เช่น NSAIDs
  • จุลชีพในลำไส้: ความไม่สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ

อาการ

อาการของ UC มักค่อยๆ พัฒนาขึ้น และแตกต่างกันไปตามความรุนแรง อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ท้องเสียเรื้อรัง: มักมีมูกและเลือดปนในอุจจาระ
  • ปวดเกร็งท้อง: โดยเฉพาะก่อนถ่าย มักถ่ายบ่อยและเร่งด่วน
  • Tenesmus: ความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระตลอดเวลา แม้จะเพิ่งถ่ายไปแล้ว
  • อ่อนเพลีย น้ำหนักลด: เกิดจากการอักเสบเรื้อรังและการสูญเสียสารอาหาร
  • มีไข้: พบได้ในช่วงที่โรคกำเริบรุนแรง
  • อาการนอกลำไส้: เช่น ข้ออักเสบ ผื่นผิวหนังอักเสบ หรือตาอักเสบ


การวินิจฉัย

การวินิจฉัย UC อาศัยประวัติ อาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy): เห็นเยื่อบุลำไส้บวมแดง มีแผล และเลือดออกง่าย
  • การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy): พบการอักเสบจำกัดเฉพาะชั้นเยื่อบุ (mucosa)
  • การตรวจเลือด: อาจพบภาวะโลหิตจาง หรือค่าการอักเสบสูง (ESR, CRP)
  • การตรวจอุจจาระ: เพื่อแยกโรคติดเชื้อในลำไส้ออก
  • การตรวจภาพรังสี: เช่น CT scan หรือ MRI เพื่อประเมินขอบเขตการอักเสบและภาวะแทรกซ้อน

การวินิจฉัยแยกโรค

โรค ลักษณะเด่น
Ulcerative colitis อักเสบต่อเนื่องจากทวารหนักขึ้นไปเฉพาะในลำไส้ใหญ่ แผลตื้นจำกัดที่ชั้นเยื่อบุ (mucosa)
Crohn's disease อักเสบเป็นช่วงๆ (skip lesions) พบได้ทั่วทางเดินอาหาร การอักเสบลึกถึงชั้น transmural
Infectious colitis อาการเฉียบพลัน มีประวัติอาหารปนเปื้อนหรือการติดเชื้อ ตรวจพบเชื้อในอุจจาระ
Ischemic colitis พบในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือด อาการปวดท้องเฉียบพลันร่วมกับถ่ายเป็นเลือด
Irritable bowel syndrome (IBS) ไม่มีเลือดปน และไม่มีหลักฐานการอักเสบจากการตรวจ


การรักษา

การรักษามุ่งเน้นเพื่อลดการอักเสบ บรรเทาอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน แนวทางการรักษาได้แก่

  1. ยา:
    • 5-ASA (Mesalamine, Sulfasalazine): ยาหลักในการรักษา UC
    • Corticosteroids: ใช้เมื่ออาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อ 5-ASA
    • Immunomodulators (Azathioprine, 6-MP): ใช้ควบคุมโรคในรายเรื้อรัง
    • Biologics (Anti-TNF, Anti-integrin, Anti-IL): สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน
  2. การผ่าตัด: เช่น การผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ออก (colectomy) เหมาะกับผู้ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกควบคุมไม่ได้ หรือเสี่ยงมะเร็งลำไส้
  3. การดูแลทั่วไป: รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ ควบคุมความเครียด

พยากรณ์โรค

UC เป็นโรคเรื้อรังที่มีการกำเริบและทุเลาสลับกัน แม้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมให้อาการสงบได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถดำรงชีวิตได้ใกล้เคียงปกติหากได้รับการดูแลต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นโรคมานานจะมีความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้น จึงควรได้รับการตรวจติดตามเป็นประจำ

การป้องกัน

เนื่องจากสาเหตุของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด จึงไม่มีวิธีการป้องกันโรคนี้โดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงและป้องกันการกำเริบได้โดย

  • หลีกเลี่ยงการใช้ NSAIDs โดยไม่จำเป็น
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • พักผ่อนเพียงพอและจัดการความเครียด
  • พบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างสม่ำเสมอ

สรุป

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดแผล (Ulcerative colitis) เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมสามารถลดภาวะแทรกซ้อนและความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แม้ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้ แต่การดูแลสุขภาพที่ดีและการติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ใกล้เคียงปกติได้