โรคชาร์คอต-มารี-ทูธ (Charcot–Marie–Tooth disease)
โรคชาร์คอต–มารี–ทูธ (CMT) เป็นหนึ่งในโรคเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมที่พบบ่อยที่สุด ลักษณะสำคัญคือกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง เท้าผิดรูป และมีความผิดปกติของการเดิน โรคนี้ตั้งชื่อตามนักประสาทวิทยา 3 คน คือ Jean-Martin Charcot, Pierre Marie และ Howard Henry Tooth
CMT เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ประมาณ 1 ใน 2,500 คนทั่วโลก เกิดได้ทั้งเพศชายและหญิง โดยถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้หลายแบบ เช่น autosomal dominant, autosomal recessive และ X-linked
สาเหตุ
CMT เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและการทำงานของเส้นประสาทส่วนปลาย ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเส้นประสาท 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
- CMT1 (Demyelinating type) – พบบ่อยกว่า เกิดจากความผิดปกติของปลอกไมอีลิน (Myelin sheath) ทำให้การนำกระแสประสาทช้าลงมาก ผลตรวจการนำกระแสประสาท (Nerve conduction study) พบความเร็วลดลงอย่างชัดเจน (< 38 m/s)
- CMT2 (Axonal type) – เกิดจากการเสื่อมและฝ่อตัวของแอกซอน (Axon) ทำให้สัญญาณประสาทอ่อนลง แต่ความเร็วในการนำกระแสประสาทยังคงอยู่ในระดับปกติหรือใกล้เคียงปกติ (> 38 m/s)
ตารางเปรียบเทียบ CMT1 และ CMT2
ลักษณะ |
CMT1 |
CMT2 |
พยาธิสภาพหลัก |
ปลอกไมอีลินผิดปกติ (demyelination) |
แอกซอนเสื่อม (axonal degeneration) |
ความเร็วการนำกระแสประสาท |
ช้าลงมาก (< 38 m/s) |
ปกติหรือใกล้เคียงปกติ (> 38 m/s) |
อายุที่เริ่มมีอาการ |
มักเริ่มในวัยเด็กหรือวัยรุ่น |
มักเริ่มช้ากว่า อาจแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่ |
ลักษณะเด่น |
เท้าผิดรูป, กล้ามเนื้อขาอ่อนแรงเร็ว |
กล้ามเนื้อมือและเท้าฝ่อเด่น |
ยีนที่พบบ่อย |
PMP22, MPZ, LITAF |
MFN2, NEFL, GDAP1 |
อาการ
อาการของ CMT มักเริ่มจากกล้ามเนื้อขาและเท้า แล้วลามไปยังแขนและมือ โดยอาการที่พบบ่อยได้แก่:
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะที่เท้าและขาส่วนล่าง
- เท้าผิดรูป เช่น pes cavus (เท้าโก่งสูง) หรือ hammer toes (นิ้วเท้างอ)
- การทรงตัวไม่ดี เดินลำบาก เดินก้าวขาสูงผิดปกติ (steppage gait)
- สูญเสียการรับความรู้สึก โดยเฉพาะบริเวณปลายมือปลายเท้า
- กล้ามเนื้อแขนและมือฝ่อ ทำให้หยิบจับสิ่งของลำบาก
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรค CMT ประกอบด้วย:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย: ตรวจการเดิน การทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และรูปร่างเท้า
- การทดสอบการนำกระแสประสาท (Nerve conduction study): เพื่อหาความผิดปกติของปลอกไมอีลินหรือแอกซอน
- การตรวจ EMG (Electromyography): ประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อ
- การตรวจทางพันธุกรรม: เพื่อยืนยันชนิดของยีนที่กลายพันธุ์
การวินิจฉัยแยกโรค
ควรแยกโรค CMT ออกจากโรคหรือภาวะอื่นที่มีอาการใกล้เคียง เช่น:
- โรคเส้นประสาทอักเสบจากภูมิคุ้มกัน (CIDP)
- เส้นประสาทอักเสบจากเบาหวาน
- กล้ามเนื้อเสื่อมกลุ่มอื่น (Muscular dystrophy)
- โรคทางระบบประสาทเสื่อมอื่น ๆ
โรค |
ลักษณะเด่น |
ความแตกต่างจาก CMT |
Chronic Inflammatory Demyelinating Polyneuropathy (CIDP) |
อ่อนแรงเรื้อรัง ร่วมกับเส้นประสาทอักเสบ และตอบสนองต่อยากดภูมิ |
CIDP มักดำเนินโรคเร็วกว่า CMT และสามารถรักษาด้วยสเตียรอยด์หรือ IVIG ได้ผล |
เส้นประสาทอักเสบจากเบาหวาน |
พบในผู้ป่วยเบาหวาน มีอาการชาบริเวณปลายมือปลายเท้า |
สัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ใช่โรคพันธุกรรมเหมือน CMT |
Muscular Dystrophy |
กล้ามเนื้อฝ่อและอ่อนแรง แต่เส้นประสาทปกติ |
ผลตรวจการนำกระแสประสาทปกติ แตกต่างจาก CMT ที่ช้าลงหรือพบความผิดปกติของเส้นประสาท |
โรคระบบประสาทเสื่อมอื่น ๆ |
เช่น Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) มีการเสื่อมของ motor neuron |
ALS ไม่มีความผิดปกติของการรับความรู้สึก ต่างจาก CMT ที่มีทั้ง motor และ sensory involvement |
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด การดูแลมุ่งเน้นการบรรเทาอาการและเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยวิธีที่ใช้บ่อย ได้แก่:
- กายภาพบำบัด: เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น
- อุปกรณ์ช่วยเดิน: เช่น ข้อเท้า-เท้า orthosis (AFO) เพื่อช่วยพยุงข้อเท้า
- การผ่าตัดกระดูกและข้อ: ในกรณีที่เท้าผิดรูปรุนแรง
- การทำกิจกรรมบำบัด: เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยใช้มือและทำกิจวัตรประจำวันได้สะดวกขึ้น
พยากรณ์โรค
โรค CMT มักดำเนินไปอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตยืนยาวตามปกติ แต่คุณภาพชีวิตอาจลดลงจากความผิดปกติในการเดินหรือใช้มือ ระดับความรุนแรงแตกต่างกันไปตามชนิดย่อยของโรค
การป้องกัน
ไม่สามารถป้องกันการเกิด CMT ได้ เนื่องจากเป็นโรคทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม (genetic counseling) สามารถช่วยครอบครัวหรือคู่สมรสในการวางแผนเรื่องการมีบุตรได้
สรุป
โรคชาร์คอต–มารี–ทูธ (CMT) เป็นโรคเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบได้ค่อนข้างบ่อย มีอาการเด่นคือกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ขาและแขน การเดินผิดปกติ และเท้าผิดรูป แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด แต่การรักษาประคับประคองด้วยกายภาพบำบัด อุปกรณ์ช่วยเดิน และการผ่าตัดบางราย สามารถช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการดูแลต่อเนื่องจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย