โรคต้อกระจก (Cataract)

โรคต้อกระจก (Cataract) เป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นลดลง ถือเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการตาบอดที่สามารถรักษาได้ทั่วโลก โดยพบมากในผู้สูงอายุ ความชุกจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีพบได้สูงกว่า 50% และในบางประเทศกำลังพัฒนา ต้อกระจกยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญเนื่องจากการเข้าถึงการรักษามีข้อจำกัด

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

ต้อกระจกเกิดจากความผิดปกติของโปรตีนในเลนส์ตา ทำให้เลนส์สูญเสียความใส ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่:

  • อายุที่มากขึ้น (ปัจจัยหลักที่สุด)
  • พันธุกรรม
  • การสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นเวลานาน
  • การสูบบุหรี่และดื่มสุรา
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาว
  • ภาวะบาดเจ็บที่ตา หรือผ่าตัดตามาก่อน
  • ภาวะขาดสารอาหารบางชนิด

อาการ

  • การมองเห็นพร่ามัว มองภาพไม่ชัด
  • เห็นแสงกระจายหรือแสงจ้า โดยเฉพาะเวลากลางคืน
  • การมองเห็นสีซีดจางลง
  • สายตาสั้นลงหรือเปลี่ยนแปลงค่าสายตาอย่างรวดเร็ว
  • การมองเห็นสองภาพในตาข้างเดียว (monocular diplopia)
  • ในระยะรุนแรง อาจสูญเสียการมองเห็นจนตาบอด


การวินิจฉัย

การตรวจวินิจฉัยต้อกระจกทำได้โดยจักษุแพทย์ ใช้วิธี:

  • การซักประวัติอาการและความเปลี่ยนแปลงในการมองเห็น
  • การตรวจด้วย slit-lamp พบเลนส์ขุ่นมัว
  • การตรวจวัดสายตาและความคมชัดของการมองเห็น

การวินิจฉัยแยกโรค

  • ต้อหิน (Glaucoma)
  • โรคศูนย์กลางจอตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration, AMD)
  • โรคเบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy)
  • ภาวะกระจกตาขุ่น (Corneal opacity)

ตารางเปรียบเทียบต้อกระจกกับโรคตาอื่น ๆ ที่ทำให้ตามัว

โรค ตำแหน่งความผิดปกติ ลักษณะอาการสำคัญ ความก้าวหน้าของโรค การรักษาหลัก
ต้อกระจก (Cataract) เลนส์ตาขุ่น การมองเห็นพร่ามัว สีซีดจาง เห็นแสงกระจาย ค่อยเป็นค่อยไป ผ่าตัดเลนส์ออกและใส่เลนส์เทียม
ต้อหิน (Glaucoma) เส้นประสาทตาเสื่อมจากความดันตาสูง ลานสายตาหดแคบลง มองเห็นขอบภาพหายไป ค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งรวดเร็ว (acute) ยาลดความดันตา เลเซอร์ หรือผ่าตัด
AMD จุดศูนย์กลางจอตา (macula) การมองเห็นตรงกลางพร่ามัวหรือหายไป เห็นเส้นบิดเบี้ยว ค่อยเป็นค่อยไป (dry), รวดเร็ว (wet) อาหารเสริม (dry), ยาฉีด anti-VEGF (wet)
เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) หลอดเลือดจอตา การมองเห็นพร่ามัว จุดดำลอย มองเห็นลดลง ค่อยเป็นค่อยไป ควบคุมน้ำตาล เลเซอร์ ยาฉีด หรือผ่าตัดจอตา
กระจกตาขุ่น (Corneal opacity) กระจกตา มองภาพมัว มองไม่ชัด เห็นเงาหรือฝ้าบนตาดำ ขึ้นกับสาเหตุ (ติดเชื้อ, บาดเจ็บ) ยาต้านการติดเชื้อ, ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา


การรักษา

ในระยะแรกที่อาการยังไม่รุนแรง อาจปรับแว่นสายตา แสงสว่าง หรือวิถีการใช้ชีวิต แต่การรักษาที่ได้ผลจริงคือการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นออกและใส่เลนส์แก้วตาเทียม (intraocular lens; IOL) แทน

  • Phacoemulsification: วิธีมาตรฐาน ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์สลายเลนส์และดูดออก
  • Extracapsular cataract extraction (ECCE): ผ่าตัดเลนส์ออกเป็นชิ้น เหมาะกับต้อกระจกสุก
  • Intracapsular cataract extraction (ICCE): วิธีเก่า ปัจจุบันใช้น้อยมาก

การเลือกชนิดของเลนส์เทียมมีหลายแบบ เช่น monofocal, multifocal, toric ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วย

พยากรณ์โรค

หากได้รับการผ่าตัดรักษาโดยทั่วไปผลลัพธ์ดีมาก มากกว่า 90% ของผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นได้ดี อย่างไรก็ตาม อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในลูกตา (endophthalmitis), ความดันตาสูง, หรือภาวะต้อกระจกเทียมขุ่น (posterior capsule opacification) ซึ่งรักษาได้ด้วยการยิงเลเซอร์ YAG

การป้องกัน

  • ป้องกันตาจากรังสี UV โดยสวมแว่นกันแดด
  • งดการสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน C, E, ลูทีน และซีแซนทีน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

สรุป

โรคต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นลดลงและเป็นสาเหตุหลักของการตาบอดทั่วโลก ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคืออายุ แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น แสง UV เบาหวาน และการใช้สเตียรอยด์ การรักษาที่ได้ผลคือการผ่าตัดเลนส์ออกและใส่เลนส์แก้วตาเทียม ซึ่งมีผลลัพธ์ดีในผู้ป่วยส่วนใหญ่ การป้องกันสามารถทำได้ด้วยการเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ควบคุมโรคประจำตัว และตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ