โรคหินปูนเกาะกระดูกหู (Otosclerosis)
ปกติการได้ยินของมนุษย์เกิดจากเสียงผ่านใบหู เข้าสู่ช่องหูชั้นนอก กระทบเยื่อแก้วหู แล้วส่งแรงสั่นไปยังกระดูกหู 3 ชิ้นในหูชั้นกลาง ได้แก่ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน เพื่อขยายคลื่นเสียงและส่งต่อไปยังหูชั้นใน เชื่อมกับประสาทหูเข้าสู่สมอง
โรคหินปูนเกาะกระดูกหู เกิดจากมีหินปูนยึดฐานกระดูกโกลน (stapes)
กับช่องรูปไข่ (oval window) ในหูชั้นกลาง ทำให้เสียงไม่สามารถผ่านเข้าสู่หูชั้นในได้ตามปกติ ผู้ป่วยจึงมีอาการหูอื้อหรือหูตึง และหากหินปูนลุกลามถึงหูชั้นใน จะทำให้เกิดเสียงดังในหู เวียนศีรษะ หรือบ้านหมุน (cochlear otosclerosis)
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง
แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง ดังนี้
- พันธุกรรม – โรคนี้ถ่ายทอดแบบ autosomal dominant หากพ่อแม่เป็นโรคนี้ ลูกจะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป พบมากในคนผิวขาวมากกว่าคนเอเชียหรือคนผิวดำ
- เพศและอายุ – พบในเพศหญิงมากกว่าชายประมาณ 2 เท่า และมักเกิดช่วงอายุ 20–40 ปี
- การตั้งครรภ์ – ผู้หญิงบางรายมีอาการหูอื้อมากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
ซึ่งคาดว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- โรค การบาดเจ็บ และการรักษา – ผู้ที่เคยเป็นโรคหัด โรคภูมิคุ้มกันตนเอง
หรือมีการบาดเจ็บต่อกระดูกหูชั้นใน อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
อาการของโรค
อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ หูอื้อ ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป บางรายไม่ได้ยินเสียงกระซิบ บางรายมีเสียงดังในหูหรือเวียนศีรษะ
เสียงดังในหูมักชัดขึ้นเมื่ออาการหูอื้อมากขึ้น ส่วนใหญ่เริ่มเป็นเพียงข้างเดียวก่อน แล้วค่อยลามไปอีกข้าง การสูญเสียการได้ยินมักเป็นแบบ การนำเสียงเสีย (Conductive hearing loss) แต่บางรายอาจมี การสูญเสียการได้ยินแบบประสาทเสียงเสีย (Sensorineural hearing loss) โดยมักเริ่มที่ความถี่ต่ำ ก่อนจะลามไปยังความถี่สูง
การวินิจฉัย
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจหู ตรวจการได้ยิน (audiogram)
ประเมินการทำงานของหูชั้นกลาง และอาจตรวจด้วยภาพรังสีความละเอียดสูง (HRCT scan)
เพื่อหาความผิดปกติของหูชั้นกลาง
ตารางการวินิจฉัยแยกโรค>
โรค |
ลักษณะเด่น |
สิ่งที่แตกต่างจาก Otosclerosis |
หูน้ำหนวกเรื้อรัง |
มีประวัติมีหนองหรือของเหลวในหู มีการติดเชื้อซ้ำ |
Otosclerosis ไม่มีอาการอักเสบหรือมีหนอง |
การบาดเจ็บต่อหู |
เกิดหลังอุบัติเหตุหรือแรงกระแทกต่อศีรษะ/หู |
Otosclerosis เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่สัมพันธ์กับการบาดเจ็บ |
Presbycusis (การสูญเสียการได้ยินจากอายุ) |
การได้ยินแย่ลงตามอายุ โดยเฉพาะความถี่สูง |
Otosclerosis มักเริ่มที่ความถี่ต่ำ และพบในวัยหนุ่มสาว |
โรค Ménière’s |
มีอาการบ้านหมุน หูอื้อ เสียงดังในหู และสูญเสียการได้ยินเป็นช่วง ๆ |
Otosclerosis อาการการได้ยินเสื่อมค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เป็นช่วง |
การรักษา
หากอาการไม่รุนแรง อาจไม่จำเป็นต้องรักษาทันที แต่หากสูญเสียการได้ยินจนกระทบชีวิตประจำวัน แพทย์อาจพิจารณาวิธีดังนี้
- เครื่องช่วยฟัง (Hearing aids) – เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินไม่มาก ช่วยขยายเสียงให้ชัดเจนขึ้น
- การผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกโกลน (Stapedectomy) –
นำกระดูกโกลนที่เป็นโรคออกและใส่วัสดุเทียมแทน มักเริ่มจากหูข้างที่เสียมากกว่า ประมาณ 50% ของผู้ที่ผ่าตัดอาการเสียงดังในหูจะหายไป
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ได้แก่ เวียนศีรษะ เสียงดังในหู การได้ยินแย่ลง ปากเบี้ยวจากการกระทบเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 การรับรสลดลง แผลผ่าตัดติดเชื้อ หรือติดเชื้อในหูชั้นใน แต่โดยทั่วไปพบได้น้อย ผู้ป่วยมักกลับบ้านได้ภายใน 1–2 วัน
การพยากรณ์โรค
โรคนี้แม้ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
หากไม่ได้รับการรักษา อาการจะค่อย ๆ แย่ลงจนสูญเสียการได้ยินถาวรได้
ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเครื่องช่วยฟังหรือผ่าตัดมักมีการได้ยินดีขึ้นอย่างชัดเจน
โดยผลสำเร็จของการผ่าตัดค่อนข้างสูง และภาวะแทรกซ้อนพบไม่บ่อย
การป้องกัน
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด การป้องกันจึงทำได้ยาก
สิ่งสำคัญคือการสังเกตอาการ หากมีหูอื้อ ได้ยินเสียงเบาลง เวียนศีรษะ หรือเสียการทรงตัว
ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ
สรุป
โรคหินปูนเกาะกระดูกหู (Otosclerosis) เป็นภาวะที่กระดูกโกลนในหูชั้นกลางถูกหินปูนเกาะ ทำให้การส่งผ่านเสียงผิดปกติ ผู้ป่วยจึงมีอาการหูอื้อ หูตึง เสียงดังในหู หรือเวียนศีรษะ โรคนี้สัมพันธ์กับพันธุกรรม เพศหญิง และอายุช่วง 20–40 ปี การรักษาหลักคือเครื่องช่วยฟังและการผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกโกลน หากวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น