โรคแอดดิสัน (Addison’s Disease)

โรคแอดดิสัน (Addison’s disease) ได้รับการตั้งชื่อตาม Dr. Thomas Addison แพทย์ชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นผู้บรรยายอาการและพยาธิสภาพของโรคนี้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1855 เขาพบว่าผู้ป่วยมีลักษณะอ่อนเพลีย ผิวคล้ำ และเสียชีวิตจากการทำงานของต่อมหมวกไตที่ล้มเหลว โรคนี้จึงถูกตั้งชื่อตามเขาเพื่อเป็นเกียรติแก่การค้นพบดังกล่าว

โรคแอดดิสันพบได้ค่อนข้างน้อย โดยมีอุบัติการณ์ประมาณ 40–120 รายต่อประชากรหนึ่งล้านคน พบได้ในทุกช่วงอายุ แต่พบบ่อยในช่วงอายุ 30–50 ปี และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย โรคนี้อาจเกิดได้ทั่วโลก แต่มีความชุกแตกต่างกันไปตามสาเหตุ โดยในประเทศพัฒนาแล้ว มักเกิดจากสาเหตุภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoimmune) ขณะที่ในประเทศกำลังพัฒนา วัณโรคของต่อมหมวกไตยังคงเป็นสาเหตุสำคัญ

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

โรคแอดดิสันเกิดจาก การทำลายของต่อมหมวกไตชั้นนอก (adrenal cortex) ทำให้ต่อมหมวกไตไม่สามารถสร้างฮอร์โมนที่จำเป็น ได้แก่ cortisol และ aldosterone ได้เพียงพอ สาเหตุหลักแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ

  1. สาเหตุจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune adrenalitis) — เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาทำลายเซลล์ของต่อมหมวกไต
  2. สาเหตุอื่น ๆ เช่น
    • วัณโรคของต่อมหมวกไต (Adrenal tuberculosis)
    • การติดเชื้อรา เช่น Histoplasmosis
    • การแพร่กระจายของมะเร็งมาที่ต่อมหมวกไต
    • ภาวะเลือดออกในต่อมหมวกไต (Adrenal hemorrhage)
    • ภาวะพันธุกรรมบางชนิด เช่น Congenital adrenal hypoplasia

ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม ได้แก่ การมีโรคภูมิคุ้มกันตนเองอื่น เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือโรคไทรอยด์อักเสบแบบฮาชิโมโตะ

อาการและอาการแสดง

อาการของโรคแอดดิสันมักค่อย ๆ ปรากฏทีละน้อยและไม่จำเพาะในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการต่อไปนี้:

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
  • ผิวคล้ำขึ้น โดยเฉพาะบริเวณรอยพับ ฝ่ามือ หรือเหงือก
  • ความดันโลหิตต่ำ หน้ามืดเวลาเปลี่ยนท่า
  • อยากอาหารเค็มผิดปกติ
  • ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia)
  • ในรายรุนแรงอาจเกิด “Addisonian crisis” — ภาวะฉุกเฉินที่มีความดันตกเฉียบพลัน สับสน หรือหมดสติ


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคแอดดิสันอาศัยการตรวจระดับฮอร์โมนและการตอบสนองของต่อมหมวกไต โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  1. การตรวจระดับคอร์ติซอลในเลือด (Serum cortisol) — มักพบค่าต่ำ โดยเฉพาะในช่วงเช้า
  2. การทดสอบกระตุ้นด้วย ACTH (ACTH stimulation test) — ถ้าระดับคอร์ติซอลไม่เพิ่มขึ้นหลังฉีด ACTH แสดงถึงความบกพร่องของต่อมหมวกไต
  3. การตรวจระดับ ACTH ในเลือด — ถ้าสูง แสดงว่าเป็นภาวะต่อมหมวกไตล้มเหลวขั้นปฐมภูมิ (primary adrenal insufficiency)
  4. การตรวจภาพรังสี (CT หรือ MRI) — เพื่อหาสาเหตุ เช่น วัณโรคหรือมะเร็ง
  5. การตรวจแอนติบอดีต่อเซลล์ต่อมหมวกไต (Adrenal antibody test) — เพื่อยืนยันสาเหตุจากภูมิคุ้มกัน

การวินิจฉัยแยกโรคที่ควรพิจารณา

โรค ลักษณะเด่นที่แตกต่าง
ภาวะต่อมใต้สมองทำงานบกพร่อง (Secondary adrenal insufficiency) ACTH ต่ำ ไม่มีผิวคล้ำ และระดับ aldosterone ปกติ
ภาวะซึมเศร้าหรือโรคเรื้อรัง อาจมีอาการอ่อนเพลียคล้ายกัน แต่คอร์ติซอลมักปกติ
โรคไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) น้ำหนักเพิ่ม ผิวแห้ง หน้าบวม ไม่ใช่ผิวคล้ำ
ภาวะขาดเกลือแร่จากสาเหตุอื่น ไม่มี ACTH สูงหรืออาการระบบต่อมไร้ท่อร่วม

การรักษา

การรักษาหลักของโรคแอดดิสันคือการให้ฮอร์โมนทดแทน (hormone replacement therapy) ได้แก่:

  • Hydrocortisone หรือ Prednisolone — ทดแทนฮอร์โมนคอร์ติซอล
  • Fludrocortisone — ทดแทนฮอร์โมนแอลโดสเตอโรน เพื่อควบคุมเกลือและความดันโลหิต
  • ให้คำแนะนำผู้ป่วยพก “บัตรแสดงโรคแอดดิสัน” และ “ยาฉีดฮอร์โมนฉุกเฉิน” ติดตัวเสมอ
  • หากมีการติดเชื้อหรือความเครียดทางกาย ควรเพิ่มขนาดยาชั่วคราว

ในภาวะฉุกเฉิน (Addisonian crisis) ต้องให้ hydrocortisone ทางหลอดเลือดดำ พร้อมสารน้ำเกลือทันที



พยากรณ์โรค

หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตใกล้เคียงปกติได้ อย่างไรก็ตาม ต้องรับประทานยาทดแทนตลอดชีวิต หากละเลยอาจเกิดภาวะวิกฤตต่อมหมวกไตซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การป้องกัน

ไม่สามารถป้องกันโรคแอดดิสันจากสาเหตุภูมิคุ้มกันตนเองได้โดยตรง แต่สามารถลดความเสี่ยงของภาวะวิกฤตได้โดย:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
  • พกยาฉุกเฉินและบัตรแสดงโรคติดตัวเสมอ
  • เรียนรู้การฉีดยาฉุกเฉินในกรณีเกิดความเครียดทางกายหรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน

สรุป

โรคแอดดิสันเป็นภาวะที่ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ผิวคล้ำ ความดันโลหิตต่ำ และอาจเกิดภาวะฉุกเฉินที่เป็นอันตรายได้ การวินิจฉัยอาศัยการตรวจฮอร์โมนและการทดสอบกระตุ้นด้วย ACTH การรักษาหลักคือการให้ฮอร์โมนทดแทนอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีพยากรณ์โรคที่ดี