โรคมีเนียร์ (Ménière’s disease, Idiopathic endolymphatic hydrops)
โรคมีเนียร์ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า "โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน" ได้รับการตั้งชื่อตามนายแพทย์ Prosper Ménière ชาวฝรั่งเศส โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน ทำให้มีอาการเวียนศีรษะรุนแรงเป็นพัก ๆ (vertigo) ร่วมกับการสูญเสียการได้ยิน เสียงรบกวนในหู (tinnitus) และความรู้สึกแน่นในหู อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้มาก
แม้โรคมีเนียร์จะพบไม่บ่อยนัก แต่ก็เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการเวียนศีรษะในคนอายุ 20-50 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย และประมาณ 15% ของผู้ป่วยมีอาการทั้งสองข้าง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มปริมาตรหรือความดันของน้ำในหูชั้นใน ส่งผลให้การส่งสัญญาณเสียงและการทรงตัวผิดปกติ ปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้อง ได้แก่ พันธุกรรม (พบในบางครอบครัว), ความผิดปกติของการไหลเวียนเลือดในหู, การติดเชื้อไวรัสบางชนิด, ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน หรือปัจจัยเมตาบอลิกและฮอร์โมน
อาการ
อาการมักเกิดเป็นช่วง ๆ และมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อย ๆ ประกอบด้วย
- เวียนศีรษะแบบหมุน (vertigo) — เกิดขึ้นเฉียบพลัน เป็นนานกว่า 20 นาทีถึงหลายชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงต่อครั้ง
- การได้ยินลดลง (hearing loss) — โดยเฉพาะย่านความถี่ต่ำ ในระยะแรกอาจดีขึ้นเป็นช่วง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจสูญเสียถาวร
- เสียงดังในหู (tinnitus) — รู้สึกเหมือนหึ่งหรือเสียงลมพัดในหู
- ความรู้สึกแน่นหรือดันในหู (aural fullness)
- ในระยะที่อาการรุนแรงอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน และเสียการทรงตัวชั่วคราว
- ผู้ป่วยบางรายเสี่ยงล้มและเกิดอุบัติเหตุได้
การวินิจฉัย
อาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน เกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ มากมายนอกเหนือไปจากโรคมีเนียร์ เช่น ประสาททรงตัวอักเสบ หินปูนในหูชั้นในหลุด ไมเกรน โรคทางสมอง หรือความดันโลหิตต่ำ แต่หากจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคมีเนียร์ ต้องพบอาการ เวียนศีรษะรุนแรงนานเกิน 20 นาที ร่วมกับอาการ แน่นหู เสียงดังในหู และ การได้ยินลดลง อาการเหล่านี้มักเป็น 1-2 วันแล้วทุเลาลง ก่อนกลับมาเป็นซ้ำในภายหลัง ความถี่และความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละราย และเมื่อเวลาผ่านไปการได้ยินมักเสื่อมลง
การทดสอบที่ช่วยวินิจฉัย
- การตรวจการได้ยิน (pure-tone audiometry)
- การทดสอบการทรงตัว (VNG/ENG, caloric test, vHIT)
- การตรวจ VEMP (Vestibular Evoked Myogenic Potential)
- การตรวจ MRI — ใช้แยกโรคอื่น เช่น เนื้องอกประสาทหู
- Electrocochleography (ECoG) — ตรวจหาการคั่งของของเหลวในหูชั้นใน
ตารางการวินิจฉัยแยกโรค>
โรค/ภาวะ | จุดแตกต่างที่ช่วยแยก | การตรวจ/หลักฐานที่ช่วยวินิจฉัย |
เวสติบูลาร์ไมเกรน |
มีอาการไมเกรนร่วม (ปวดศีรษะ แพ้แสง/เสียง) ระยะเวลาเวียนศีรษะแตกต่างกัน |
ประวัติทางคลินิก |
โรคทางระบบประสาทส่วนกลาง |
มักมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วม เช่น แขนขาอ่อนแรง พูดลำบาก |
MRI/CT สมอง |
Labyrinthitis |
มีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจหรือหูชั้นกลาง อาการเกิดเฉียบพลันและต่อเนื่อง |
การซักประวัติและตรวจร่างกาย |
Vestibular schwannoma |
การได้ยินเสื่อมค่อยเป็นมากขึ้น ตรวจ MRI พบเนื้องอก |
MRI หูและสมอง |
เวียนศีรษะจากโรคหลอดเลือดหรือหัวใจ |
อาการเวียนศีรษะไม่ใช่แบบหมุน มักสัมพันธ์กับความดันหรือการทำงานของหัวใจ |
ตรวจร่างกาย วัดความดัน ECG |
การรักษา
ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่มีแนวทางช่วยควบคุมอาการและลดความถี่ของการกำเริบ
มาตรการพื้นฐานและไม่ผ่าตัด
- ปรับพฤติกรรม: ลดเกลือ คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่
- ยาบรรเทาเวียนศีรษะเฉียบพลัน: เช่น antiemetics หรือ vestibular suppressants
- ยาขับปัสสาวะ และยา Betahistine เพื่อลดน้ำในหูและเพิ่มการไหลเวียนเลือด
- ยาอื่น ๆ เช่น Cinnarizine, Flunarizine, Nicotinic acid หรือยาคลายเครียด
- กายภาพบำบัดเพื่อการทรงตัว (vestibular rehabilitation)
- การใช้เครื่องช่วยฟัง
การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
- ฉีดยาสเตียรอยด์หรือยาทำลายประสาทเวสติบูลาร์เข้าหูชั้นกลาง (dexamethasone, gentamicin)
- การผ่าตัด เช่น endolymphatic sac decompression, vestibular nerve section, labyrinthectomy (ใช้เมื่อการได้ยินเสียถาวรแล้ว)
การพยากรณ์โรค
โรคมีเนียร์เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีทั้งช่วงที่อาการกำเริบและช่วงสงบ การควบคุมอาการทำได้โดยการรักษาและการฟื้นฟู แม้คุณภาพชีวิตจะดีขึ้น แต่การได้ยินมักเสื่อมลงทีละน้อย และบางรายอาจสูญเสียถาวร
การป้องกัน
ยังไม่มีวิธีป้องกันโดยตรง แต่การลดปัจจัยกระตุ้นอาจช่วยได้ เช่น ลดเกลือ คาเฟอีน แอลกอฮอล์ จัดการความเครียด และดูแลสุขภาพโดยรวม รวมถึงควรพบแพทย์เมื่อมีอาการเวียนศีรษะรุนแรง เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
สรุป
โรคมีเนียร์ เป็นโรคของหูชั้นในที่ทำให้เวียนศีรษะ การได้ยินลดลง และมีเสียงรบกวนในหู อาการเป็น ๆ หาย ๆ และอาจทำให้การได้ยินเสื่อมถาวรได้ การวินิจฉัยอาศัยประวัติ อาการ และการตรวจเฉพาะทาง การรักษามุ่งเน้นการควบคุมอาการ ลดความถี่ของการกำเริบ และปรับคุณภาพชีวิต โดยใช้ทั้งการปรับพฤติกรรม ยา การฉีดยาเฉพาะที่ และการผ่าตัด ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและวางแผนการรักษาเฉพาะรายร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ