โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral arterial disease, PAD)

โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ หรือ PAD เป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขน ขา หรืออวัยวะส่วนปลายอื่นๆ ตีบแคบลงหรืออุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก ส่งผลให้เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

โรค PAD เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ จากการศึกษาพบว่าอุบัติการณ์ของโรคนี้เพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และมักจะพบร่วมกับโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

สาเหตุหลักของโรค PAD คือภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของคราบไขมัน คอเลสเตอรอล และสารอื่นๆ ที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว หนาขึ้น และแคบลง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่:

  • การสูบบุหรี่: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่ทำให้หลอดเลือดตีบตันอย่างรวดเร็ว
  • โรคเบาหวาน: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรค PAD และมักจะมีอาการรุนแรงกว่าปกติ
  • ความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำลายผนังหลอดเลือด
  • ภาวะไขมันในเลือดสูง: การมีคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะ LDL-C (ไขมันเลว) จะเพิ่มการสะสมของคราบไขมันที่ผนังหลอดเลือด
  • อายุที่เพิ่มขึ้น: โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
  • ประวัติครอบครัว: หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือด
  • โรคอ้วนและขาดการออกกำลังกาย: เพิ่มความเสี่ยงของปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

อาการ

อาการของโรค PAD มักจะค่อยเป็นค่อยไปและอาจไม่ชัดเจนในระยะแรก อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ:

  • อาการปวดขาเมื่อเดิน (Intermittent Claudication): เป็นอาการเด่นที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด ตะคริว หรือเมื่อยล้าที่กล้ามเนื้อขา น่อง ต้นขา หรือสะโพกขณะเดินหรือออกกำลังกาย และอาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดพัก
  • อาการชาหรือเย็นที่ขาและเท้า: โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับอีกข้าง
  • สีผิวที่เปลี่ยนแปลง: ขาหรือเท้าอาจมีสีซีดหรือคล้ำลง
  • บาดแผลที่หายช้า: บาดแผลที่เท้าหรือนิ้วเท้าที่หายช้าหรือไม่หายเลย
  • เล็บหนาและเปราะ: การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีทำให้เล็บเปราะ และขนที่ขาหลุดร่วง
  • กล้ามเนื้อขาลีบ: ขาข้างที่เป็นโรคอาจมีขนาดเล็กลง
  • อาการปวดในขณะพัก (Rest Pain): ในระยะที่รุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่เท้าหรือนิ้วเท้าแม้ในขณะที่ไม่ได้ทำกิจกรรมใดๆ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโรค PAD จากประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย และการทดสอบต่างๆ ได้แก่:

  • การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจวัดชีพจรที่แขน ขา และเท้า รวมถึงตรวจดูสีผิวและอุณหภูมิ
  • ดัชนีแรงดันข้อเท้าและแขน (Ankle-Brachial Index, ABI): เป็นการตรวจที่ง่ายและไม่เจ็บปวด โดยการวัดความดันโลหิตที่ข้อเท้าและแขนเพื่อเปรียบเทียบกัน ค่า ABI ที่ต่ำกว่า 0.9 ถือว่ามีความผิดปกติ
  • การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound): ใช้เพื่อประเมินการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงและดูตำแหน่งของการตีบตัน
  • การตรวจหลอดเลือดด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Angiography) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MR Angiography): ให้ภาพที่ละเอียดของหลอดเลือดเพื่อประเมินความรุนแรงและตำแหน่งของโรค

การวินิจฉัยแยกโรค

โรค ลักษณะเด่น
โรคข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อขณะใช้งาน แต่ไม่สัมพันธ์กับการไหลเวียนเลือด
เส้นประสาทถูกกดทับ (Lumbar spinal stenosis) ปวดขาเวลาเดิน แต่ดีขึ้นเมื่อก้มตัวหรือหยุดพัก
ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (Deep vein thrombosis) ขาบวม เจ็บกดเจ็บ ไม่ดีขึ้นเมื่อพัก และมักมีประวัติอุดตันเฉียบพลัน
โรคเส้นประสาทส่วนปลาย (Peripheral neuropathy) ชาหรือปวดแสบปวดร้อน ไม่สัมพันธ์กับการเดิน


การรักษา

เป้าหมายของการรักษาโรค PAD คือการลดอาการ เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การรักษาประกอบด้วย:

  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต:
    • การเลิกสูบบุหรี่: เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยชะลอการลุกลามของโรค
    • การออกกำลังกาย: การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย PAD โดยเดินจนเริ่มมีอาการปวดแล้วหยุดพัก จากนั้นเดินต่อ ทำซ้ำๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดขนาดเล็กมาทดแทน
    • การควบคุมอาหาร: ลดอาหารที่มีไขมันสูงและเพิ่มผัก ผลไม้
    • การดูแลเท้า: ตรวจดูเท้าเป็นประจำเพื่อป้องกันและรักษาบาดแผลตั้งแต่เนิ่นๆ
  2. การใช้ยา:
    • ยาต้านเกล็ดเลือด: เช่น แอสไพริน หรือโคลพิโดเกรล เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    • ยาลดไขมัน: เช่น ยาในกลุ่ม Statins เพื่อลดระดับคอเลสเตอรอล
    • ยาลดความดันโลหิตและควบคุมเบาหวาน: เพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง
  3. การผ่าตัดและหัตถการ:
    • การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (Angioplasty and Stenting): เป็นการใช้สายสวนใส่บอลลูนเข้าไปขยายหลอดเลือดที่ตีบแคบและอาจมีการใส่ขดลวดค้ำยันไว้
    • การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือด (Bypass Surgery): เป็นการใช้หลอดเลือดเทียมหรือหลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาทำทางเบี่ยงเพื่อให้เลือดไหลเวียนผ่านบริเวณที่อุดตันได้

พยากรณ์โรค

การพยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการควบคุมปัจจัยเสี่ยง หากผู้ป่วยสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงได้อย่างดี เช่น เลิกสูบบุหรี่ ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิต อาการของโรคจะดีขึ้นและสามารถชะลอการลุกลามของโรคได้ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา โรคจะดำเนินไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น เช่น อาการปวดในขณะพัก การเกิดบาดแผลเรื้อรัง และอาจต้องตัดอวัยวะในที่สุด นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรค PAD ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

การป้องกัน

การป้องกันโรค PAD คือการจัดการและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งได้แก่:

  • เลิกสูบบุหรี่
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี
  • ควบคุมความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

สรุป

โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD) เป็นโรคที่เกิดจากการตีบแคบของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนหรือขา ทำให้เกิดอาการปวดขาเวลาเดิน แผลหายยาก หรือเนื้อตายได้ การวินิจฉัยเร็วและการรักษาที่เหมาะสม รวมถึงการปรับพฤติกรรมและควบคุมปัจจัยเสี่ยง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดภาวะแทรกซ้อนและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย