โรคกระเพาะอักเสบชนิดฝ่อ (Chronic atrophic gastritis)

โรคกระเพาะอักเสบชนิดฝ่อ เป็นภาวะที่เยื่อบุกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบเรื้อรังจนทำให้เซลล์เยื่อบุตายและถูกแทนที่ด้วยเซลล์ชนิดอื่นหรือพังผืด ส่งผลให้การหลั่งกรดและเอนไซม์ย่อยอาหารลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารในระยะยาว

โรคนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและในประเทศที่มีการติดเชื้อ Helicobacter pylori สูง เช่น ประเทศในเอเชียตะวันออก รวมทั้งประเทศไทย อุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุ โดยมากพบในผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี และพบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชายเล็กน้อย

สาเหตุของโรค

โรคกระเพาะอักเสบชนิดฝ่อเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ ชนิดจากภูมิคุ้มกันตนเอง (autoimmune type) และชนิดจากการติดเชื้อ (environmental type)

  • การติดเชื้อ Helicobacter pylori: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนเนื้อเยื่อเยื่อบุกระเพาะฝ่อ
  • ภูมิคุ้มกันตนเอง (Autoimmune gastritis): ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อต้านเซลล์ขอบ (parietal cell) และ intrinsic factor ทำให้กรดและวิตามินบี12 ดูดซึมได้น้อยลง
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs), ยาต้านกรดกลุ่ม proton pump inhibitor (PPI) ระยะยาว
  • การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่: เพิ่มการระคายเคืองและการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  • ปัจจัยพันธุกรรม: พบความสัมพันธ์ในครอบครัวในบางราย
  • ภาวะขาดสารอาหาร: โดยเฉพาะวิตามินบี12 และธาตุเหล็ก

อาการ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่จำเพาะ หรือบางรายอาจไม่มีอาการชัดเจน โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • แน่นท้องหลังรับประทานอาหาร (dyspepsia)
  • ปวดหรือแสบท้องบริเวณลิ้นปี่
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • ท้องอืดง่าย
  • อาการจากการขาดวิตามินบี12 เช่น ซีด เหนื่อยง่าย ชาปลายมือปลายเท้า หรือโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงโต (pernicious anemia)


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยอาศัยการซักประวัติ อาการ การตรวจร่างกาย ผลทางห้องปฏิบัติการ และการส่องกล้องกระเพาะอาหารพร้อมตัดชิ้นเนื้อเยื่อบุกระเพาะอาหารเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา โดยแนวทางหลักในการวินิจฉัย ได้แก่:

  • ส่องกล้องพบเยื่อบุกระเพาะบาง ซีด และหลอดเลือดใต้เยื่อบุเด่น
  • ผลชิ้นเนื้อพบการฝ่อของต่อม (glandular atrophy) และการเกิด intestinal metaplasia
  • ตรวจแอนติบอดีต่อต้าน parietal cell หรือ intrinsic factor ในกรณีสงสัย autoimmune gastritis
  • ตรวจหาเชื้อ H. pylori ด้วย urea breath test, stool antigen test หรือ biopsy

การวินิจฉัยแยกโรค

โรค ลักษณะเด่น การตรวจแยก
Peptic ulcer disease ปวดแสบท้องเป็นช่วง ๆ ดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหาร ส่องกล้องพบแผลชัดเจน มีการกัดกร่อนเยื่อบุ
Functional dyspepsia แน่นท้องแต่ไม่พบรอยโรคทางกายภาพ ส่องกล้องปกติ ผลชิ้นเนื้อปกติ
Autoimmune gastritis ค่ากรดในกระเพาะต่ำ ขาดวิตามินบี12 ตรวจพบแอนติบอดีต่อ parietal cell หรือ intrinsic factor
Gastric cancer (มะเร็งกระเพาะอาหาร) น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ดีซ่าน หรือเลือดออกทางเดินอาหาร ส่องกล้องพบก้อนหรือแผล ตรวจชิ้นเนื้อพบเซลล์มะเร็ง

การรักษา

การรักษามุ่งเน้นที่การจัดการสาเหตุ ลดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ได้แก่:

  • กำจัดเชื้อ Helicobacter pylori: ใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรดตามแนวทาง triple หรือ quadruple therapy
  • หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองกระเพาะอาหาร: เช่น ยา NSAIDs แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
  • ให้วิตามินและแร่ธาตุเสริม: โดยเฉพาะวิตามินบี12 และธาตุเหล็กในกรณีขาด
  • ยาลดกรด: เช่น proton pump inhibitor (PPI) หรือ H2 blocker เพื่อลดการอักเสบและอาการปวดแสบท้อง
  • ติดตามระยะยาว: ส่องกล้องเป็นระยะเพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุหรือการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร


พยากรณ์โรค

โรคนี้มักดำเนินไปช้า หากควบคุมสาเหตุได้ เช่น การกำจัดเชื้อ H. pylori หรือรักษาภาวะขาดวิตามินบี12 จะช่วยชะลอการเสื่อมของเยื่อบุกระเพาะได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่มี intestinal metaplasia หรือ dysplasia จึงจำเป็นต้องติดตามระยะยาว

การป้องกัน

  • รักษาและกำจัดเชื้อ H. pylori ตั้งแต่ระยะแรก
  • หลีกเลี่ยงยาที่ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร เช่น NSAIDs
  • งดแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
  • รับประทานอาหารที่สะอาด ลดอาหารหมักดองหรือเค็มจัด
  • ตรวจสุขภาพและส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง

สรุป

โรคกระเพาะอักเสบชนิดฝ่อเป็นภาวะที่เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลายเรื้อรังจากการติดเชื้อ H. pylori หรือภูมิคุ้มกันตนเอง ส่งผลให้การหลั่งกรดลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร การตรวจพบและรักษาในระยะแรกโดยกำจัดเชื้อและป้องกันการอักเสบซ้ำเป็นสิ่งสำคัญในการยืดอายุและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย