โรคท่อน้ำดีอักเสบปฐมภูมิ (Primary biliary cholangitis, PBC)

โรคท่อน้ำดีอักเสบปฐมภูมิ หรือ Primary biliary cholangitis (PBC) เป็นโรคตับเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีการทำลายท่อน้ำดีขนาดเล็กภายในตับอย่างต่อเนื่อง จากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อตัวเอง (autoimmune process) ส่งผลให้เกิดการคั่งของน้ำดี (cholestasis) การอักเสบของเนื้อตับ และสุดท้ายอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้

PBC พบได้ไม่บ่อยนัก โดยมีอุบัติการณ์ประมาณ 20–40 รายต่อประชากร 100,000 คน พบมากในประเทศแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า โดยมักเริ่มพบในช่วงอายุ 40–60 ปี

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

สาเหตุที่แท้จริงของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากกลไกภูมิคุ้มกันผิดปกติร่วมกับปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • พันธุกรรม: พบว่าผู้ป่วยบางรายมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเดียวกัน
  • ภูมิคุ้มกันผิดปกติ: มีการสร้างแอนติบอดีต่อตัวเอง เช่น anti-mitochondrial antibody (AMA)
  • สิ่งแวดล้อม: การสัมผัสสารพิษบางชนิด การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น Escherichia coli หรือ Chlamydia pneumoniae
  • ฮอร์โมนเพศหญิง: มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคในเพศหญิงมากกว่า

อาการและอาการแสดง

ในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่มีอาการ (asymptomatic) แต่สามารถตรวจพบจากค่าการทำงานของตับที่ผิดปกติ โดยอาการที่พบบ่อยเมื่อโรคดำเนินไป ได้แก่:

  • อาการคันตามผิวหนัง (pruritus)
  • อ่อนเพลีย (fatigue)
  • ดีซ่าน (jaundice)
  • ผิวหนังคล้ำ (hyperpigmentation)
  • ตับและม้ามโต
  • แผลไขมันสะสมใต้ผิวหนัง (xanthelasma, xanthoma)
  • ในระยะท้ายอาจเกิดภาวะตับแข็ง น้ำในช่องท้อง หรือหลอดเลือดดำโป่งพองในหลอดอาหาร

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยอาศัยทั้งอาการทางคลินิก ผลเลือด และการตรวจชิ้นเนื้อตับ โดยทั่วไปจะใช้เกณฑ์ดังนี้:

  • ระดับเอนไซม์ alkaline phosphatase (ALP) สูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง
  • ผลตรวจพบ anti-mitochondrial antibody (AMA) เป็นบวก (>90% ของผู้ป่วย)
  • ผลชิ้นเนื้อตับแสดงการอักเสบและการทำลายท่อน้ำดีขนาดเล็ก

การวินิจฉัยแยกโรค

โรค ลักษณะเด่น การตรวจแยก
Primary sclerosing cholangitis (PSC) เกิดการอักเสบและตีบของท่อน้ำดีทั้งในและนอกตับ มักสัมพันธ์กับโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ผลตรวจ AMA มักเป็นลบ, ภาพ MRCP/ERCP พบการตีบไม่สม่ำเสมอของท่อน้ำดี
Drug-induced cholestasis เกิดจากยาบางชนิด เช่น amoxicillin-clavulanate, anabolic steroids ประวัติการใช้ยา, หยุดยาแล้วอาการดีขึ้น
Autoimmune hepatitis ค่าการอักเสบของตับ (ALT, AST) สูงเด่นกว่า ALP anti-smooth muscle antibody (ASMA) เป็นบวก, ชิ้นเนื้อตับพบ lymphoplasmacytic infiltrate
Biliary obstruction เกิดจากนิ่วหรือมะเร็งท่อน้ำดี ทำให้มีการอุดตันทางกล อัลตราซาวด์หรือ CT พบการขยายของท่อน้ำดี


การรักษา

เป้าหมายของการรักษาคือชะลอการดำเนินของโรค บรรเทาอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  • Ursodeoxycholic acid (UDCA): เป็นยาหลักในการรักษา ช่วยลดการคั่งของน้ำดีและปรับปรุงค่าการทำงานของตับ
  • Obeticholic acid: ใช้ในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อ UDCA
  • ยาบรรเทาอาการคัน: เช่น cholestyramine, rifampicin, naltrexone
  • การรักษาภาวะแทรกซ้อนของตับแข็ง: เช่น ควบคุมภาวะน้ำในช่องท้อง ป้องกันหลอดเลือดโป่งพองแตก
  • การปลูกถ่ายตับ: พิจารณาในกรณีโรครุนแรงหรือระยะสุดท้าย

พยากรณ์โรค

หากได้รับการรักษาด้วย UDCA ตั้งแต่ระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ได้มากกว่า 10–20 ปีโดยไม่เกิดภาวะตับแข็ง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาจะมีแนวโน้มโรคดำเนินเร็วและเข้าสู่ภาวะตับวายภายในไม่กี่ปี

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันเฉพาะ เนื่องจากสาเหตุของโรคเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้โดย:

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
  • หลีกเลี่ยงยาที่มีพิษต่อตับ
  • ตรวจติดตามการทำงานของตับเป็นประจำ

สรุป

โรคท่อน้ำดีอักเสบปฐมภูมิ (PBC) เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่มีผลต่อตับ ทำให้เกิดการอักเสบและคั่งของน้ำดี หากไม่ได้รับการรักษาอาจพัฒนาเป็นตับแข็ง การตรวจพบในระยะแรกและการรักษาด้วย UDCA อย่างต่อเนื่องช่วยยืดอายุและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมาก