ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetes retinopathy, DR)
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา หรือ DR เป็นภาวะแทรกซ้อนทางตาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดฝอยที่จอตา ทำให้การมองเห็นลดลงหรือตาบอดได้ ถือเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้ใหญ่วัยทำงานทั่วโลก
โรคนี้พบได้ประมาณ 30–40% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 มีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะนี้หลังเป็นโรคมากกว่า 10 ปี ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักตรวจพบเมื่อได้รับการวินิจฉัยเบาหวานครั้งแรกหรือไม่นานหลังจากนั้น
สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง
- การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี
- ระยะเวลาที่เป็นเบาหวานนาน
- ความดันโลหิตสูง
- ภาวะไขมันในเลือดสูง
- การตั้งครรภ์ในผู้ป่วยเบาหวาน
- โรคไตเรื้อรัง
- การสูบบุหรี่
อาการ
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตาแบ่งได้เป็น 2 ระยะตามความรุนแรงของโรค คือ
- ระยะที่ยังไม่มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Non-proliferative DR) ระยะแรกมักไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ เมื่อตรวจตาอาจพบจุดเลือดออกที่จอตา หากมีการรั่วซึมของหลอดเลือดจะเริ่มมีอาการตามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว แยกสียาก หรือมีจุดดำลอยไปมา (floaters) หากโรครุนแรงขึ้น หลอดเลือดบริเวณจุดภาพชัดอาจอุดตัน เกิดภาวะ macular ischemia ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
- ระยะที่มีมีการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Proliferative DR) เมื่อโรคลุกลามจนหลอดเลือดทั่วไปอุดตัน เกิดจอตาขาดเลือด จะมีการกระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่หลอดเลือดใหม่มีลักษณะเปราะและแตกง่าย ทำให้เกิดเลือดออกในตาบ่อยขึ้น และเกิดพังผืดดึงรั้งจอตาจนลอก ผู้ป่วยมักมีสายตาแย่ลงอย่างมากทั้งจากเลือดออกและจอตาลอก
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยภาวะเบาหวานขึ้นจอตาทำโดยจักษุแพทย์ ตรวจจอตาด้วยการหยอดยาขยายม่านตา (Fundus examination) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของจอตา เช่น microaneurysms, hemorrhages, exudates หรือ neovascularization
การตรวจเพิ่มเติม เช่น Fundus photography, Optical coherence tomography (OCT) และ Fluorescein angiography อาจช่วยยืนยันและวางแผนการรักษา
การวินิจฉัยแยกโรค
โรค/ภาวะ |
ลักษณะสำคัญ |
การแยกจาก Diabetic retinopathy |
Hypertensive retinopathy |
พบเส้นเลือดแดงตีบ แข็งแรงกว่าปกติ มี flame-shaped hemorrhages |
สัมพันธ์กับความดันโลหิตสูงมากกว่าระดับน้ำตาล |
Retinal vein occlusion |
มีเลือดออกทั่วจอประสาทตาแบบ “blood and thunder” appearance |
เกิดแบบเฉียบพลันในตาข้างเดียว ต่างจาก DR ที่เป็นเรื้อรัง |
Age-related macular degeneration (AMD) |
มี drusen และการเสื่อมของ macula |
พบในผู้สูงอายุ ไม่สัมพันธ์กับเบาหวาน |
Central serous chorioretinopathy |
การสะสมของน้ำใต้จอประสาทตา เห็นเป็น blister-like elevation |
มักเกิดในคนอายุน้อยกว่า และสัมพันธ์กับความเครียดหรือสเตียรอยด์ |
การรักษา
- การควบคุมเบาหวานและโรคร่วม: ควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser photocoagulation): ใช้ในระยะที่มีการสร้างหลอดเลือดใหม่และในผู้ป่วยที่มีจุดภาพชัดบวม เลเซอร์จะทำให้หลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติฝ่อลง ส่งผลให้จอตายุบบวมและป้องกันการเกิดเลือดออกในตา การรักษาด้วยเลเซอร์นั้นอาจต้องแบ่งยิงหลายครั้งเพื่อป้องกันภาวะจอตาบวมจากเลเซอร์ ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาโดยเลเซอร์พบได้น้อยมากหากผู้ป่วยให้ความร่วมมือ
- การฉีดยา Anti-VEGF: เช่น Ranibizumab, Bevacizumab, Aflibercept เพื่อยับยั้งการเกิดเส้นเลือดใหม่และลดบวมที่จุดภาพชัด
- การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าวุ้นตา: ในบางกรณีที่มี macular edema
- การผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy): ใช้ในผู้ที่มีเลือดออกในวุ้นตานานกว่า 2-3 เดือน หรือมีพังผืดดึงรั้งจอประสาทตา
นวัตกรรมทางการแพทย์ในปัจจุบันส่งผลให้ประสิทธิภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตาดีขึ้นมาก มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น
พยากรณ์โรค
หากตรวจพบและรักษาแต่เนิ่น ๆ ผู้ป่วยสามารถรักษาการมองเห็นได้ดี
แต่หากปล่อยทิ้งไว้จนเข้าสู่ระยะรุนแรง มีโอกาสตาบอดถาวรสูง การควบคุมโรคเบาหวานและการติดตามตรวจตาอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการพยากรณ์โรคที่ดี
การป้องกัน
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์
- ควบคุมความดันโลหิตและไขมันในเลือด
- งดสูบบุหรี่
- ตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรได้รับการตรวจตาและขยายม่านตาเพื่อตรวจจอตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แม้ไม่มีอาการผิดปกติก็ตาม ไม่ควรรอจนมีอาการ
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ตั้งครรภ์ ควรรับการตรวจตาในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในระหว่างตั้งครรภ์ส่งผลให้ภาวะเบาหวานขึ้นตารุนแรงขึ้นได้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
สรุป
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของโรคเบาหวานที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระยะเวลาการเป็นเบาหวานและการควบคุมระดับน้ำตาล การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกและการรักษาที่เหมาะสม เช่น การเลเซอร์ การฉีดยา Anti-VEGF หรือการผ่าตัดวุ้นตา
สามารถชะลอความเสื่อมและช่วยรักษาการมองเห็นได้ การควบคุมโรคเบาหวานและการตรวจตาเป็นประจำเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคนี้