โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis)

โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ เป็นการติดเชื้อของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่ยังไม่ทำให้เกิดเนื้อตาย เชื้อที่เป็นสาเหตุหลักคือ Streptococcus ซึ่งมีความคล้ายกับ โรคไฟลามทุ่ง อย่างไรก็ตาม เชื้อที่ก่อโรคนี้มีความหลากหลายกว่านั้น เช่น Staphylococcus aureus, Pasteurella multocida, Erysipelothrix rhusiopathiae, Aeromonas hydrophila รวมถึงแบคทีเรียแกรมลบและ Mycobacterium marinum เชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผล ทั้งจากสิ่งแวดล้อมบนบก ในน้ำ หรือจากการถูกสัตว์กัด/ข่วน เมื่อเข้าสู่ผิวหนัง เชื้อจะกระจายเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและอาจเข้าสู่กระแสเลือดได้ หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อบางส่วนสามารถลุกลามลึกถึงพังผืดที่หุ้มกล้ามเนื้อ และพัฒนาเป็นภาวะพังผืดอักเสบ (fasciitis) ได้

อาการของโรค

ผู้ป่วยมักมีประวัติได้รับอุบัติเหตุมาไม่นาน แต่อาจไม่สังเกตว่ามีบาดแผลตรงไหน บางรายถูกสัตว์กัดหรือข่วน ในเด็กอาจเริ่มจากการเป็นโรคพุพองก่อน ระยะฟักตัวไม่แน่นอนขึ้นกับชนิดของเชื้อ อาการสำคัญ 4 อย่างคือ ปวด บวม แดง และร้อน บริเวณผิวหนังที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย หากเป็นไม่มาก อาจยังไม่มีไข้ในระยะแรก แต่เมื่อผ่านไป 1-2 วัน มักเริ่มมีไข้ รอยแดงของผิวหนังไม่นูน และมีขอบเขตไม่ชัดเท่าโรคไฟลามทุ่ง อาการบวมเกิดจากเนื้อเยื่อข้างใต้ ไม่ใช่บนชั้นผิวหนัง อาการปวดมักเป็นไม่มาก ถ้าไม่กดจะไม่เจ็บ นอกจากเนื้อเยื่อข้างใต้จะบวมจนตึงแข็ง หรือเชื้อเซาะลงไปถึงชั้นพังผืด เมื่อนั้นจะปวดตลอดเวลา

ในผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ตับแข็ง ไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยอัมพาต หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน รอยโรคอาจเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่ถูกกดทับเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็นต้องมีบาดแผลมาก่อน เชื้อที่ก่อโรคในกลุ่มนี้อาจแตกต่างไปจากเชื้อที่อยู่ตามผิวหนังทั่วไป

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ การเกิดก๊าซหรือหนองใต้ผิวหนัง การเกิดเนื้อตาย (gangrene) ในบริเวณที่บวมมากจนเลือดมาเลื้ยงไม่ได้ และการลุกลามจนเป็นโรคหนังเน่า (Necrotizing fasciitis)

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยต้องแยกโรคออกจากภาวะอื่น เช่น หลอดเลือดดำอักเสบ (thrombophlebitis), ภาวะบวมจากการอุดตันของหลอดน้ำเหลือง (lymphatic obstruction), ภาวะบวมจากกลุ่มอาการเนโฟรติก (nephrotic syndrome), โรคไฟลามทุ่ง และโรคหนังเน่า การตรวจวินิจฉัยประกอบด้วย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และอัลตราซาวด์ของหลอดเลือดดำ การยืนยันเชื้อต้องอาศัยการเพาะเชื้อจากเลือดหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง แต่โอกาสพบเชื้อจริงค่อนข้างน้อย ทำให้การเลือกยาปฏิชีวนะมักพิจารณาจากข้อมูลทางระบาดวิทยาและลักษณะทางคลินิก



การรักษา

แนวทางการรักษาหลักคือ การให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดที่ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุ หากพบหนองหรือก๊าซ ต้องทำการผ่าตัดเปิดแผลและล้างทำความสะอาดวันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการยกบริเวณที่บวมให้สูงเพื่อลดอาการบวม และการให้ยาแก้ปวดลดไข้ หากยาที่ใช้สามารถครอบคลุมเชื้อได้ อาการมักดีขึ้นภายใน 3-5 วัน โดยรอยแดงและอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 5 วัน ควรตรวจดูดเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพื่อตรวจหาเชื้อเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นเชื้อกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่แบคทีเรียทั่วไป

พยากรณ์โรค

หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบส่วนใหญ่สามารถหายได้โดยไม่ทิ้งผลแทรกซ้อน แต่ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคประจำตัวเรื้อรัง อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) หรือโรคหนังเน่า พยากรณ์โรคจึงขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย การได้รับการรักษาเร็ว และการดูแลอย่างต่อเนื่อง

การป้องกัน

  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลและล้างแผลให้สะอาดทันทีเมื่อมีบาดแผล
  • หลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรือสัมผัสสิ่งสกปรกเมื่อมีแผลเปิด
  • ป้องกันการถูกสัตว์กัดหรือข่วน หากเกิดขึ้นควรล้างแผลและพบแพทย์
  • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน และหลีกเลี่ยงการกดทับผิวหนังเป็นเวลานานในผู้ป่วยอัมพาต

สรุป

โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ เป็นการติดเชื้อของผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่เกิดขึ้นได้จากหลายเชื้อโรค ส่วนใหญ่มีอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บที่ผิวหนัง หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อสามารถลุกลามและก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ การวินิจฉัยอาศัยการตรวจร่างกายและการตรวจเพิ่มเติมบางอย่าง ส่วนการรักษาหลักคือการให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการดูแลบาดแผลอย่างเหมาะสม หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยมักหายได้ดี การป้องกันที่สำคัญคือการดูแลบาดแผลและรักษาสุขอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ผิวหนังตั้งแต่แรก