โรคหวัด (Acute rhinitis, Coryza, Common cold)
โรคหวัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่พบได้บ่อย เกิดจากไวรัสหลายชนิด เช่น Rhinovirus, Coronavirus, Parainfluenza virus, Respiratory syncytial virus, Adenovirus และ Coxsackie virus โดยประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วยไม่สามารถระบุเชื้อที่เป็นสาเหตุได้อย่างแน่ชัด การตรวจเพื่อหาชนิดไวรัส เช่น การป้ายน้ำมูกหรือเจาะเลือด ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการสามารถทำได้ แต่ไม่นิยมในทางปฏิบัติ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงและโรคส่วนใหญ่ไม่รุนแรง มักหายเอง ยกเว้นในเด็กเล็กซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้
อาการของโรค
หลังจากติดเชื้อทางจมูกหรือเยื่อบุตา อาการมักเกิดขึ้นภายใน 1–3 วัน อาการสำคัญ ได้แก่ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก เจ็บคอ ไอ เสียงแหบ มักมีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยตามตัว และอ่อนเพลียร่วมด้วย ในเด็กมักมีไข้สูงกว่าผู้ใหญ่ และอาจซึม ไม่ร่าเริงเหมือนปกติ อาการจะเป็นมากที่สุดในช่วงวันที่ 2–3 และค่อย ๆ ดีขึ้น อาการโดยเฉลี่ยมักอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์
หากติดเชื้อจาก Adenovirus หรือ Coxsackie virus อาจมีอาการเยื่อบุตาอักเสบร่วมด้วย ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็ก ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ และหลอดลมฝอยอักเสบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวหากไม่ได้รับการรักษา
การวินิจฉัย
โรคหวัดเป็นโรคที่มีลักษณะอาการเฉพาะตัว ทำให้สามารถวินิจฉัยได้จากอาการและการสังเกต โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม แต่ในรายที่มีอาการบ่อยผิดปกติหรือติดต่อกันตลอดปี ควรแยกโรคจากโรคภูมิแพ้ (ที่มักมีอาการคันจมูก) และโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดในระยะแรก แต่จะแสดงอาการเฉพาะเจาะจงมากขึ้นหลังวันที่ 3 ของโรค
สิ่งสำคัญในการวินิจฉัยคือการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน หากเริ่มมีอาการเจ็บคอมาก คอแดงจัดหรือมีจุดขาว ๆ, หูอื้อหรือปวดหูข้างเดียว, ไข้ไม่ลดหลังวันที่ 3, มีผื่นขึ้นตามตัว, ไอมากจนรบกวนการนอน หรือคลำเจอก้อนบวมกดเจ็บที่ข้างคอ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือดหรือเอกซเรย์ปอด
ตารางเปรียบเทียบโรคหวัดธรรมดา (Coryza) กับไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
ลักษณะ |
Coryza (หวัดธรรมดา) |
Influenza (ไข้หวัดใหญ่) |
เชื้อก่อโรค |
ไวรัสหลายชนิด เช่น Rhinovirus, Coronavirus, Adenovirus, Coxsackie virus เป็นต้น |
Influenza virus ชนิด A, B |
การเริ่มอาการ |
ค่อย ๆ เป็น อาการค่อย ๆ เพิ่มใน 1–2 วัน |
เริ่มกะทันหัน อยู่ดี ๆ ป่วยหนักอย่างรวดเร็ว |
ไข้ |
ไม่มีหรือไข้ต่ำ ๆ |
ไข้สูง 38–40°C มักอยู่นาน 3–4 วัน |
อาการเด่น |
น้ำมูกใส คัดจมูก จาม เจ็บคอ ไอเล็กน้อย |
ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอแห้ง เจ็บคอ อ่อนเพลียมาก |
อ่อนเพลีย/เพลียล้า |
เล็กน้อย |
ชัดเจน บางรายนาน 1–2 สัปดาห์หรือมากกว่า |
คัดจมูก/น้ำมูก |
เด่นชัดมาก เป็นลักษณะนำ |
มักไม่เด่นเท่าหวัดธรรมดา |
อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ |
ไม่เด่น หรือเล็กน้อย |
เด่นชัด |
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย |
หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ (พบในเด็ก) |
ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง |
ระยะเวลาอาการ |
โดยทั่วไป 5–7 วัน แล้วดีขึ้นเอง |
ประมาณ 1–2 สัปดาห์ อาจนานกว่านี้ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน |
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ |
โดยมากไม่จำเป็น วินิจฉัยจากอาการ |
พิจารณาใช้การตรวจแอนติเจน/RT-PCR ในผู้ป่วยอาการรุนแรงหรือกลุ่มเสี่ยง |
ภาพรวมการแยกโรค |
น้ำมูก-คัดจมูกเด่น ไข้ต่ำ อาการไม่รุนแรง |
ไข้สูงเริ่มฉับพลัน ปวดเมื่อยมาก อ่อนเพลียชัด ไอแห้ง |
การรักษา
โรคหวัดทั่วไปที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่ การพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาความอบอุ่น เช็ดตัวเมื่อตัวร้อน ใช้ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก หรือยาระงับอาการไอ เพื่อบรรเทาอาการในช่วง 2–3 วันแรก หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ โดยเฉพาะในเด็ก จำเป็นต้องรักษาภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มียา วัคซีน อาหารเสริม หรือสารใดที่สามารถป้องกันโรคหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การป้องกันจึงเน้นที่การดูแลสุขอนามัยและลดโอกาสแพร่กระจายเชื้อ ผู้ที่เป็นโรคหวัดควรล้างมือบ่อย ๆ แยกของใช้ส่วนตัว และสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเพื่อลดการแพร่เชื้อ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ป่วย ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดหรืออากาศไม่ถ่ายเทนาน ๆ เช่น โรงภาพยนตร์ รถโดยสารปรับอากาศ หรือเครื่องบิน รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้มือเช็ดจมูกและขยี้ตา เพราะมือมักเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและเป็นช่องทางสำคัญที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย
สรุป
โรคหวัด (Common cold) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสหลายชนิด อาการมักไม่รุนแรงและหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่ในเด็กเล็กอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ การวินิจฉัยอาศัยการสังเกตอาการเป็นหลัก และควรเฝ้าระวังสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อน การรักษาโดยทั่วไปเป็นแบบประคับประคอง การป้องกันทำได้ด้วยการรักษาสุขอนามัย หลีกเลี่ยงที่ชุมชนแออัด และแยกผู้ป่วยเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น