โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Diabetes Mellitus Type 1)
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus: T1DM) พบประมาณร้อยละ 5–10 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด ทั่วโลก โดยมีอุบัติการณ์เฉลี่ยประมาณ 10–20 รายต่อประชากร 100,000 คนต่อปี โรคนี้พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะในช่วงอายุ 4–14 ปี แต่สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุ พบในเพศหญิงและชายใกล้เคียงกัน ในประเทศเขตยุโรปตอนเหนือและสแกนดิเนเวียมีอัตราสูงสุด ขณะที่ในเอเชียรวมถึงประเทศไทยพบได้น้อยกว่า
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากการทำลายเซลล์เบต้า (β-cells) ในตับอ่อน ซึ่งทำหน้าที่สร้างอินซูลิน โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติและโจมตีเซลล์เหล่านี้ ทำให้ร่างกายขาดอินซูลินอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:
- พันธุกรรม: ความผิดปกติของยีนในระบบ HLA บางชนิด เช่น HLA-DR3, HLA-DR4 เพิ่มความเสี่ยง
- ภูมิคุ้มกันผิดปกติ: มีการตรวจพบแอนติบอดีต่อเซลล์เบต้า เช่น GAD65 antibody, IA-2 antibody
- สิ่งแวดล้อม: การติดเชื้อไวรัสบางชนิด (เช่น Coxsackievirus B, Enterovirus) อาจกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันโจมตีตับอ่อน
- ปัจจัยอื่น ๆ: การได้รับนมวัวในวัยทารก การขาดวิตามินดี และความเครียดทางร่างกายบางอย่างอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
อาการและอาการแสดง
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักแสดงอาการเฉียบพลันภายในไม่กี่สัปดาห์ โดยมีอาการสำคัญที่เรียกว่า “3 มาก 1 น้อย” ได้แก่:
- ปัสสาวะบ่อย (Polyuria)
- กระหายน้ำมาก (Polydipsia)
- กินมาก (Polyphagia)
- แต่น้ำหนักลด
อาการร่วมอื่น ๆ ได้แก่ เหนื่อยง่าย ตามัว แผลหายช้า ผิวหนังแห้ง และในบางรายอาจเริ่มต้นด้วยภาวะ เบาหวานคีโตแอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis: DKA) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หายใจลึกเร็ว (Kussmaul respiration) และอาจหมดสติได้
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 อาศัยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและหลักฐานของการขาดอินซูลิน โดยเกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน (ตาม ADA 2024) มีดังนี้:
- ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร ≥ 126 mg/dL (7.0 mmol/L)
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส (OGTT 2 ชม.) ≥ 200 mg/dL (11.1 mmol/L)
- ค่า HbA1c ≥ 6.5%
- หรือ ระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม ≥ 200 mg/dL ร่วมกับอาการของเบาหวาน
นอกจากนี้ ควรตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันชนิดของโรค เช่น
- ระดับ C-peptide ต่ำ (บ่งชี้ว่าร่างกายผลิตอินซูลินได้น้อย)
- ตรวจพบ autoantibodies เช่น Anti-GAD, IA-2A, ZnT8A, ICA
การวินิจฉัยแยกโรคเบาหวานชนิดที่ 1
โรค |
ลักษณะเด่นที่แตกต่าง |
เบาหวานชนิดที่ 2 |
เริ่มในผู้ใหญ่ อ้วน ไม่มีแอนติบอดี น้ำตาลสูงแต่ C-peptide ปกติหรือสูง |
LADA (Latent Autoimmune Diabetes in Adults) |
เกิดในผู้ใหญ่ มีแอนติบอดีเหมือนชนิดที่ 1 แต่ดำเนินโรคช้ากว่า |
MODY (Maturity-Onset Diabetes of the Young) |
เกิดจากพันธุกรรมโดยตรง ไม่มีแอนติบอดี การตอบสนองต่ออินซูลินยังดี |
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ |
เกิดเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ และมักหายหลังคลอด |
การรักษา
การรักษาหลักของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 คือการให้อินซูลินทดแทน (Insulin Replacement Therapy) ตลอดชีวิต เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินเองได้ โดยรูปแบบการรักษาประกอบด้วย:
- การฉีดอินซูลินหลายครั้งต่อวัน (Multiple Daily Injections; MDI) — ใช้อินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็วก่อนอาหาร และชนิดออกฤทธิ์ยาวก่อนนอน
- การใช้อินซูลินปั๊ม (Insulin pump therapy) — สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติที่สุด
นอกจากนี้ ต้องดูแลควบคู่ด้วย:
- การนับคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate counting)
- การตรวจระดับน้ำตาลปลายนิ้ว หรือใช้เครื่องตรวจต่อเนื่อง (CGM)
- การควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- การให้ความรู้ผู้ป่วยเรื่องภาวะน้ำตาลต่ำ (Hypoglycemia) และวิธีแก้ไข
พยากรณ์โรค
ด้วยเทคโนโลยีการรักษาที่ดีขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 สามารถมีอายุขัยใกล้เคียงคนปกติได้ หากควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากควบคุมไม่ดีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง เช่น
- โรคไตจากเบาหวาน (Diabetic nephropathy)
- โรคจอตาจากเบาหวาน (Diabetic retinopathy)
- โรคปลายประสาทเสื่อม (Neuropathy)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง อย่างไรก็ตาม การติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ญาติสายตรงของผู้ป่วย หรือผู้ที่ตรวจพบ autoantibodies อาจช่วยให้ตรวจพบและรักษาได้เร็วขึ้นเพื่อลดภาวะแทรกซ้อน
สรุป
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดอินซูลินเนื่องจากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการตั้งแต่เด็กหรือวัยรุ่น การรักษาจำเป็นต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต ควบคุมอาหาร และติดตามระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด การดูแลอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมาก