มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งของระบบน้ำเหลือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถพบได้ในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยอุบัติการณ์จะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ได้แก่:

  • การติดเชื้อไวรัส เช่น Epstein-Barr virus (EBV), HTLV-1, HIV, HCV
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ในผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น SLE, Sjögren’s syndrome
  • การได้รับรังสีหรือสารเคมีในระยะยาว
  • พันธุกรรมหรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้

ชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1. Hodgkin Lymphoma (HL)

มะเร็งชนิดนี้มีต้นกำเนิดจาก B-cells โดยลักษณะเด่นทางพยาธิวิทยาคือการพบ Reed-Sternberg cell ซึ่งเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่มีนิวเคลียส 2 อันและนิวคลีโอลัสเด่นชัด พบประมาณ 10-15% ของผู้ป่วย lymphoma ทั้งหมด มักพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว (15-35 ปี) เริ่มต้นด้วยก้อนโตบริเวณคอ รักแร้ หรือเหนือกระดูกไหปลาร้า เติบโตช้าและตอบสนองดีต่อเคมีบำบัด พยากรณ์โรคโดยรวมค่อนข้างดี

2. Non-Hodgkin Lymphoma (NHL)

มักเรียกสั้น ๆ ว่า lymphoma คิดเป็นประมาณ 85-90% ของ lymphoma ทั้งหมด มีชนิดย่อยหลากหลาย แบ่งได้ตามชนิดของเซลล์ต้นกำเนิดและความรุนแรงของโรค

2.1 กลุ่ม B-cell lymphoma พบถึง 90% ของ NHL

  • Indolent (โตช้า):
    • Follicular lymphoma: พบในผู้สูงอายุ โตช้า ไม่ค่อยแสดงอาการ ทำให้มักวินิจฉัยเมื่อโรคลุกลามแล้ว แม้จะตอบสนองดีต่อการรักษา แต่มีแนวโน้มกลับเป็นซ้ำและอาจกลายเป็นชนิดรุนแรงได้
    • Marginal zone lymphoma: พบบริเวณต่อมน้ำเหลือง ม้าม กระเพาะอาหาร และลำไส้ สัมพันธ์กับการติดเชื้อ H. pylori และโรค celiac
    • Small lymphocytic lymphoma (SLL): มีลักษณะใกล้เคียงกับ chronic lymphocytic leukemia (CLL)
    • Lymphoplasmacytic lymphoma: สัมพันธ์กับภาวะ Waldenström’s macroglobulinemia
  • Aggressive (โตเร็ว):
    • Diffuse Large B-cell Lymphoma (DLBCL): เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด พบในวัยกลางคนขึ้นไป ก้อนโตเร็ว อาจมีไข้ เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลด ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
    • Mantle cell lymphoma: พบในผู้ชายอายุราว 60 ปีขึ้นไป โตเร็ว มักกระจายไปไขกระดูกและม้าม ยังไม่มีแนวทางการรักษามาตรฐาน
  • Highly Aggressive (โตเร็วมาก):
    • Burkitt lymphoma: พบในเด็กและวัยรุ่น โตเร็วมาก ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน มักเกี่ยวข้องกับ EBV โดยเฉพาะในผู้ป่วย HIV หรือในแอฟริกา

2.2 กลุ่ม T-cell lymphoma พบเพียง 10%

  • Indolent (โตช้า):
    • Mycosis fungoides / Sézary syndrome: เป็น cutaneous T-cell lymphoma เริ่มจากผื่นที่ผิวหนัง โตช้า
  • Aggressive (โตเร็ว):
    • Peripheral T-cell lymphoma (PTCL): กลุ่มที่หลากหลาย โตเร็ว พยากรณ์โรคไม่ดี มักพบในผู้สูงอายุ
    • Angioimmunoblastic T-cell lymphoma: พบในผู้สูงอายุ มักมีไข้ ผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต และระดับโปรตีนในเลือดสูง มีโอกาสติดเชื้อแทรกซ้อนได้บ่อย
  • Highly Aggressive (โตเร็วมาก):
    • Adult T-cell leukemia/lymphoma: เกิดจากการติดเชื้อ HTLV-1 พบในแถบญี่ปุ่น แคริบเบียน และแอฟริกา มักพบเซลล์มะเร็งในเลือด ตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี
    • Extranodal NK/T-cell lymphoma, nasal type: พบในเด็กและวัยรุ่นแถบเอเชีย โตเร็ว มักเริ่มที่โพรงจมูก และสัมพันธ์กับ EBV

2.3 กลุ่ม Extranodal lymphoma มีก้อนนอกต่อมน้ำเหลือง พบประมาณ 30% ของ NHL มาจาก B-cells มากกว่า T-cells

  • Primary CNS lymphoma: มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น HIV
  • Primary testicular lymphoma: พบในผู้ชายสูงอายุ
  • Gastrointestinal lymphoma (เช่น MALT): พบบ่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
  • Lymphoplasmacytic lymphoma: มักสัมพันธ์กับภาวะเลือดหนืด (hyperviscosity syndrome)
  • Primary effusion lymphoma: พบในผู้ป่วย HIV หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง จัดเป็นชนิดรุนแรง มักมีน้ำในเยื่อหุ้มปอดหรือหัวใจ
  • Mediastinal large B-cell lymphoma: พบในผู้หญิงอายุ 30–40 ปี มีก้อนขนาดใหญ่ที่กลางทรวงอก อาจกดเส้นเลือดใหญ่จนเกิดภาวะ superior vena cava syndrome


อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อาการเริ่มต้นมักเป็นก้อนโตตามร่างกาย เช่น คอ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งมักไม่เจ็บ ต่างจากการติดเชื้อที่มักเจ็บร่วมด้วย อาการอื่นที่พบได้ เช่น ไข้ เหงื่อออกกลางคืน อ่อนเพลีย คันตามร่างกาย หรือปวดก้อนหลังดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นอาการของ lymphoma ที่มีต้นกำเนิดจาก B-cell หรือเรียกว่า B-symptoms

หากโรคลุกลาม ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ต่อมทอนซิลโต ตับและม้ามโต ซีด หรือติดเชื้อง่าย หากเกิดที่ปอดจะไอเรื้อรังและหายใจลำบาก ถ้าอยู่ในสมองจะมีอาการปวดศีรษะ หากอยู่ในช่องท้องจะรู้สึกแน่นท้องหรืออาหารไม่ย่อย และอาจมีก้อนในช่องท้อง ต่อมน้ำเหลืองที่โตอาจกดเส้นเลือดหรือเส้นประสาทจนเกิดอาการบวมหรือชาตามแขนขา

วิธีตรวจวินิจฉัยและจำแนกชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

  • ตรวจร่างกาย: คลำหาต่อมน้ำเหลืองที่โตผิดปกติ
  • ตรวจเลือด: เช่น CBC, LDH, การทำงานของตับและไต
  • ถ่ายภาพ: เช่น CT scan, PET scan เพื่อตรวจประเมินการกระจายของโรค
  • ตัดชิ้นเนื้อ: เพื่อวินิจฉัยและระบุชนิดของ lymphoma ด้วยการตรวจทางพยาธิวิทยา, การย้อม immunohistochemistry และการตรวจ molecular markers
  • ตรวจไขกระดูก: เพื่อตรวจหาการลุกลามของโรคในระบบเลือด

การแบ่งระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ใช้ระบบ Ann Arbor ซึ่งแบ่งเป็น 4 ระยะ:

  • ระยะที่ I: พบรอยโรคเพียงแห่งเดียวในต่อมน้ำเหลืองหรือนอกต่อมน้ำเหลือง
  • ระยะที่ II: พบรอยโรคตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปในด้านเดียวกันของกะบังลม
  • ระยะที่ III: พบรอยโรคทั้งเหนือและใต้กะบังลม และ/หรือ พบที่ม้าม
  • ระยะที่ IV: โรคลุกลามออกนอกต่อมน้ำเหลือง เช่น ไปที่ตับ ไขกระดูก หรือปอด

หากมีอาการไข้ เหงื่อออก หรือ น้ำหนักลดเกิน 10% ใน 6 เดือน จะระบุเป็นกลุ่ม B เช่น Stage IIB

การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

แนวทางการรักษามีหลายวิธี โดยขึ้นกับชนิดและระยะของโรค ได้แก่:

  • เคมีบำบัด (Chemotherapy): เป็นการรักษาหลัก เช่น CHOP สำหรับ NHL หรือ ABVD สำหรับ HL
  • ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): เช่น Rituximab สำหรับ B-cell lymphoma
  • การฉายแสง (Radiation): ใช้ร่วมในบางกรณี โดยเฉพาะโรคที่จำกัดเฉพาะที่
  • การปลูกถ่ายไขกระดูก: สำหรับผู้ป่วยที่ดื้อยา หรือมีการกลับมาเป็นซ้ำ
  • ยามุ่งเป้า (Targeted therapy): เช่น BTK inhibitors ใน mantle cell lymphoma

สรุป

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นกลุ่มของมะเร็งที่มีความหลากหลาย แบ่งเป็น Hodgkin และ Non-Hodgkin โดย Non-Hodgkin ยังแยกย่อยตามเซลล์ต้นกำเนิดและระดับความรุนแรง การวินิจฉัยต้องอาศัยการตัดชิ้นเนื้อและการตรวจพิเศษต่าง ๆ การรักษาขึ้นกับชนิดและระยะของโรค ซึ่งหากวินิจฉัยได้เร็วและรักษาอย่างเหมาะสมจะให้ผลลัพธ์ที่ดี ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลจากทีมแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด