ปวดท้องในเด็ก (Abdominal pain in children)
อาการปวดท้องในเด็กเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยพอ ๆ กับในผู้ใหญ่ แต่เด็กมักไม่สามารถอธิบายลักษณะอาการได้ละเอียดเท่าผู้ใหญ่ ดังนั้นผู้ปกครองจึงมีบทบาทสำคัญในการสังเกตอาการ สีหน้า พฤติกรรม และปัจจัยแวดล้อมที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องแทนเด็ก
โดยทั่วไป อาการปวดท้องที่ไม่รุนแรงมักเป็นอยู่ไม่นาน เด็กอาจลืมอาการได้เองเมื่อมีสิ่งอื่นที่สนใจมากกว่า เช่น ของเล่นหรือขนม แต่หากอาการปวดไม่ทุเลา แม้มีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว ก็ควรเริ่มประเมินอาการอย่างจริงจัง
หากมีอาการใดต่อไปนี้ ควรรีบพาเด็กไปพบกุมารแพทย์ทันที
- อาเจียนเป็นน้ำดี (สีเขียวหรือสีน้ำตาลเข้ม ที่ไม่ใช่อาหารที่เพิ่งรับประทาน)
- อาเจียนเป็นเลือด
- อาเจียนต่อเนื่องนานกว่า 24 ชั่วโมง
- ถ่ายเป็นเลือดหรืออุจจาระสีดำคล้ายยางมะตอย
- มีไข้สูง ซึม ไม่ยอมลุกเดิน
- ท้องโตแข็ง กดแล้วเจ็บ หรือคลำได้ก้อนในท้อง
สัญญาณของอาการปวดท้องที่รุนแรง
- ตื่นกลางดึกเพราะปวดท้อง
- ร้องไห้ไม่หยุด ทุบหรือกดท้องตนเอง
- ปฏิเสธอาหาร ของเล่น หรือสิ่งที่เคยชอบทั้งหมด
- สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานชัดเจน
หากไม่มีอาการอันตรายข้างต้น ผู้ปกครองสามารถดูแลเบื้องต้นได้เอง เพราะส่วนใหญ่สาเหตุของอาการปวดท้องในเด็กมักเกิดจากอาหารไม่ย่อย ท้องผูก ความเครียด หรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจากการเจริญเติบโต การจิบน้ำเก๊กฮวยอุ่น ๆ จะช่วยระบายและบรรเทาอาการร้อนใน ส่วนการจิบน้ำขิงช่วยลดกรดในกระเพาะและลดการอักเสบของทางเดินอาหารได้ดี หากเด็กมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องสามารถช่วยบรรเทาได้
ระหว่างที่มีอาการ ควรให้เด็กกินอาหารอ่อนหรืออาหารย่อยง่าย 1–2 มื้อ และหากมีอาการอาเจียนหรือท้องเสียมาก ควรงดอาหารชั่วคราวและให้ดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่แทน ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไป สิ่งสำคัญคือผู้ปกครองควรแสดงความรักและให้ความอบอุ่นแก่เด็ก เพราะความสบายใจจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็วขึ้น
ปกติเด็กเวลาหายป่วยจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าอาการปวดท้องยังคงอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมง หรือสามวันแล้วยังไม่หายท้องเสีย ผู้ปกครองควรพาเด็กไปให้แพทย์ตรวจ
สาเหตุของอาการปวดท้องในเด็กแต่ละช่วงวัย
แรกเกิด - 1 เดือน
- ลำไส้อุดตัน เช่น Volvulus, Hirshsprung, Pyloric stenosis
- ไส้เลื่อน
- การบาดเจ็บจากการคลอด
- เยื่อบุช่องท้องอักเสบ เช่น Necrotizing enterocolitis, การทะลุของทางเดินอาหาร
- Gastroesophageal reflux (กรดไหลย้อนในทารก)
ต่ำกว่า 2 ปี
- ท้องผูก
- ไวรัสลงกระเพาะ
- อาหารเป็นพิษ
- ไส้เลื่อน, ลำไส้บิดเกลียว (Volvulus), ลำไส้กลืนกัน (Intussusception)
- ปวดบิดไม่ทราบสาเหตุ (Colic)
- อุบัติเหตุ เช่น กินสารพิษ บาดเจ็บ ถูกทำร้าย
- Infantile dyschezia (เด็กกรีดร้องก่อนขับถ่ายอุจจาระ)
อายุ 2-12 ปี
- ไวรัสลงกระเพาะ
- อาหารเป็นพิษ
- ท้องผูก
- ลำไส้อุดตัน
- ลูกอัณฑะบิดเกลียว
- ปอดบวม
- ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องอักเสบ
- กรวยไตอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- การบาดเจ็บ
- Henoch-Schnolein Purpura
- ไส้ติ่งอักเสบ
- ตับอ่อนอักเสบ
- ถุงน้ำดีอักเสบ
อายุ 12-18 ปี
- การบาดเจ็บ
- ปวดประจำเดือน
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ถุงน้ำรังไข่/รังไข่บิดเกลียว
- ท้องผูก
- ลูกอัณฑะบิดเกลียว
- อาหารเป็นพิษ
- ตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ไวรัสลงกระเพาะ
- ไส้ติ่งอักเสบ
- ตับอ่อนอักเสบ
- ถุงน้ำดีอักเสบ
จากตารางข้างต้นจะเห็นว่า อาการปวดท้องในทารกมักมีสาเหตุรุนแรงมากกว่า เนื่องจากความผิดปกติแต่กำเนิดมักแสดงอาการในช่วงนี้ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี สาเหตุส่วนใหญ่มาจากอาการท้องผูก ผู้ปกครองควรฝึกให้เด็กกินผักผลไม้ และฝึกให้ขับถ่ายเป็นเวลาในแต่ละวัน ทั้งนี้เด็กวัยนี้ยังเสี่ยงต่อภาวะไส้เลื่อน ลำไส้บิดเกลียว และลำไส้กลืนกัน ซึ่งมักทำให้ปวดท้องมาก ท้องโตและแข็ง คล้ายมีก้อนอยู่ภายใน
ในเด็กวัยเรียน สาเหตุหลักของอาการปวดท้องมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรืออาหารเป็นพิษ ซึ่งมักมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เว้นแต่อุจจาระมีเลือดปน ควรรีบพบแพทย์ทันที โรค Henoch–Schönlein Purpura ก็เป็นอีกภาวะหนึ่งที่ควรระวัง เพราะจะมีผื่นแดงคล้ายจ้ำเลือดร่วมกับอาการปวดท้อง
สำหรับเด็กวัยรุ่น อาการปวดท้องอาจเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เช่น ปวดประจำเดือน หรือภาวะถุงน้ำรังไข่บิดเกลียว ในเด็กผู้ชายอาจเกิดภาวะลูกอัณฑะบิดเกลียว ซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดรักษาโดยด่วน
เด็กทุกวัยสามารถเป็นไส้ติ่งอักเสบได้ ลักษณะสำคัญคือปวดท้องน้อยด้านขวา กดเจ็บ และอาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนไส้ติ่งแตกในวันที่ 3–5 ซึ่งอาจทำให้ปวดทั่วท้องได้ เด็กหญิงวัยรุ่นควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อแยกโรคทางรังไข่หรือมดลูกด้วย
สรุป
อาการปวดท้องในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุไม่ร้ายแรง เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องผูก หรือการติดเชื้อไวรัส แต่ผู้ปกครองควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการเตือน เช่น อาเจียนเป็นน้ำดี ถ่ายเป็นเลือด มีไข้สูง หรือท้องโตแข็ง ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที การดูแลเบื้องต้นที่ถูกวิธี เช่น การให้ดื่มน้ำอุ่น การพักผ่อน และการดูแลด้านอารมณ์ จะช่วยให้เด็กหายเร็วขึ้น ที่สำคัญคือไม่ควรนิ่งนอนใจหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน เพราะในเด็ก อาการที่ดูเหมือนเล็กน้อยอาจพัฒนาเป็นโรคร้ายแรงได้