ชาที่ใบหน้า (Facial numbness)
อาการชา (numbness) หรือปวดที่ใบหน้า เกิดจากพยาธิสภาพที่เส้นประสาทรับความรู้สึกเหมือนกัน หากเซลล์ประสาทยังไม่ตายจะรู้สึกปวด แต่ถ้าเซลล์ประสาทตายหรือถูกตัดขาดจากสมองแล้ว จะเกิดอาการชา บางครั้งอาการก็คร่อมกัน คือทั้งปวดทั้งชา แยกจากกันไม่ได้
ศีรษะ ใบหน้า และลำคอคนเรามีเส้นเลือดและเส้นประสาทเลี้ยงเป็นส่วน ๆ เส้นประสาทเหล่านี้มาจากแขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ V, VII, IX, X และเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ (Cervical plexus) ดังนี้
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ V (Trigeminal nerve) เป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกหลักของใบหน้า แบ่งเป็น 3 แขนง ได้แก่
- Ophthalmic branch รับความรู้สึกบริเวณหน้าผาก ดวงตา และจมูก (สีเขียว)
- Maxillary branch รับความรู้สึกบริเวณแก้มทั้งสองข้าง (สีเหลือง)
- Mandibular branch รับความรู้สึกบริเวณคาง ขากรรไกร ด้านข้างของใบหน้า และใบหูบางส่วน (สีส้ม)
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ VII (Facial nerve) รับความรู้สึกจากลิ้นส่วนหน้าและหูชั้นกลาง ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว และการหลับตา
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ IX (Glossopharyngeal nerve) รับความรู้สึกจากใบหูบางส่วน หลังโพรงจมูก คอหอย ลิ้นส่วนหลัง ทอนซิล และกล่องเสียง มีหน้าที่ควบคุมการกลืน การเปล่งเสียง และกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ X (Vagus nerve) รับความรู้สึกจากหูส่วนใน ควบคุมการหายใจ การเต้นของหัวใจ การกลืน และการหลั่งน้ำย่อย
- เส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอ (Cervical nerves) รับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อบริเวณคอและหลังศีรษะ (สีม่วงและสีฟ้า)
เส้นประสาทเหล่านี้ในระดับที่สูงขึ้น (คือใกล้สมองหรือไขสันหลังยิ่งขึ้น) จะอยู่ใกล้กันมากขึ้น ทำให้รอยโรคเพียงจุดเดียวอาจกระทบต่อเส้นประสาทหลายเส้นพร้อมกัน ส่งผลให้เกิดอาการชาร่วมกับอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อที่เส้นประสาทเหล่านั้นควบคุมได้
สาเหตุของอาการชาที่ใบหน้า
- จากการบาดเจ็บ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด การฉายรังสี
- จากการอักเสบ เช่น Scleroderma, Sjögren's syndrome, Sarcoidosis, Multiple sclerosis
- จากโรคของหลอดเลือด เช่น ภาวะสมองขาดเลือด เส้นเลือดแตก หรือความผิดปกติของกลุ่มหลอดเลือด
- จากเนื้องอก ที่กดเบียดหรือทำลายเส้นประสาท
- จากการติดเชื้อ เช่น โรคเรื้อน งูสวัด ไลม์ ซิฟิลิส เป็นต้น
- จากความเสื่อม เช่น Kennedy's disease
- จากสารพิษ เช่น Stilbamidine, Trichloroethylene, Oxaliplatin
- จากความผิดปกติแต่กำเนิด ของระบบประสาทหรือโครงสร้างกระดูกใบหน้า
- จากโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน, Amyloidosis, Pseudotumor cerebri
- ไม่ทราบสาเหตุ ได้แก่ ภาวะ Idiopathic trigeminal neuropathy
แนวทางการวินิจฉัย
การวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด ทั้งประวัติการบาดเจ็บ การรักษาในช่องปากหรือศีรษะมาก่อน โรคประจำตัว การสัมผัสสารพิษ รวมถึงลักษณะของอาการและอาการร่วมอื่น ๆ จากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายและระบบประสาทโดยละเอียด เพื่อหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น บริเวณที่ชาหรือไม่รู้สึกเจ็บ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว (เช่น กระจกตา) แล้วจึงพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น MRI หรือการตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุเฉพาะ
สรุป
อาการชาที่ใบหน้าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของเส้นประสาทรับความรู้สึก ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บ การอักเสบ การติดเชื้อ โรคของหลอดเลือด เนื้องอก หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ การซักประวัติและตรวจระบบประสาทอย่างละเอียดจึงมีความสำคัญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง หากมีอาการชาเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเป็นร่วมกับอาการอ่อนแรงของใบหน้า ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว