ไข้ (Pyrexia, Fever)
ไข้เป็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิร่างกายเมื่อมีการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย เหมือนเป็นการบอกเราว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว และเป็นสัญญาณระดมพลให้ทุกระบบช่วยกันรักษาสภาพสมดุลเดิม
ปกติอุณหภูมิในร่างกายของคนเราจะขึ้นลงอยู่ระหว่าง 37 ± 0.5°C ขึ้นกับอุณหภูมิอากาศภายนอกและกิจกรรมที่เราทำในช่วงเวลาต่าง ๆ รวมทั้งความไม่สบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย ที่เราอาจรู้สึกว่า "ตัวร้อน" แต่การ "มีไข้" ในทางการแพทย์หมายถึงการวัดอุณหภูมิร่างกายได้สูงกว่า 100°F หรือ 37.8°C
การตอบสนองของร่างกายในลักษณะไข้จะรวดเร็วและสูงมากในเด็ก (อาจเป็นเพราะเด็กช่วยตัวเองไม่ได้ ธรรมชาติจึงสร้างให้เกิดปฏิกิริยานี้ชัดกว่าในผู้ใหญ่ เด็กบางคนนอกจากไข้แล้วยังมีชักอีก) พออายุมากขึ้นการตอบสนองจะค่อย ๆ ลดลง ไข้ในผู้สูงอายุอาจไม่มีแม้จะป่วยด้วยการติดเชื้อที่ค่อนข้างรุนแรง
อุปกรณ์วัดไข้ก็มีผลทำให้ค่าที่วัดได้แตกต่างกัน เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดที่ใช้วัดทางหู ใช้เวลาสั้นกว่าการวัดด้วยปรอท แต่มีความคลาดเคลื่อนได้มาก ดังนั้นจึงควรวัดสองครั้งแล้วหาค่าเฉลี่ย เช่นเดียวกับแถบเทปวัดไข้ที่ใช้ทาบลงบนหน้าผากจนกว่าจะเห็นตัวเลขขึ้นที่แถบ ค่าที่ได้อาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้มาก ทั้งสูงกว่า หรือต่ำกว่าที่เป็นจริง ปกติปรอทแก้วถือเป็นอุปกรณ์วัดไข้มาตรฐานที่คลินิกและโรงพยาบาลใช้กัน โดยก่อนวัดจะต้องสะบัดให้ปรอทลงไปจนสุดก่อนและใช้เวลาในการวัดประมาณ 2-3 นาที
ค่าของอุณหภูมิร่างกายที่วัดทางรักแร้จะต่ำกว่าที่วัดทางปาก และที่วัดทางทวารหนักในเด็กเล็ก
ไข้เฉียบพลัน (2-14 วัน)
ไข้เฉียบพลันมักเกิดจากโรคติดเชื้อ, โรคที่ทำให้มีการอักเสบ, จากการฉีดวัคซีน, จากยาบางชนิด, จากฮอร์โมน และจากมะเร็งระบบเลือดและต่อมน้ำเหลือง
โรคติดเชื้อในเด็กส่วนใหญ่จะเป็นจากเชื้อไวรัส ซึ่งไม่มียาฆ่า สามารถหายได้เองใน 7 วันถ้าให้การพยาบาลและการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่ดี เด็กอาจไม่เป็นอะไรมากถ้ายังทานได้ดี ยิ้มได้ และยังชวนเล่นได้อยู่
ไข้เฉียบพลันในเด็กที่ควรพาไปพบกุมารแพทย์ ได้แก่
- ไข้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 เดือน
- ไข้ที่สูงกว่า 39°C ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ
- ไข้ในเด็กที่มีโรคประจำตัวที่สำคัญ เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด เบาหวาน Cystic fibrosis
- ไข้ 3 วันแล้วยังไม่ทราบเป็นอะไร หรือไข้เป็น ๆ หาย ๆ มากว่า 1 สัปดาห์
- ไข้ที่มีอาการร่วมดังต่อไปนี้
- เจ็บคอมาก จนไม่ยอมกินอะไร
- ไอมาก หายใจเร็ว จมูกบาน หรือหายใจมีเสียงดัง
- ปวดหู
- มีผื่นแดงหรือจ้ำเลือด
- ซึม เรียกไม่ค่อยตื่น
- ชัก
- ปวดหัวมาก
- ปวดท้องมาก
- ข้อบวม ไม่ยอมขยับข้อ
ส่วนโรคติดเชื้อในผู้ใหญ่จะมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียมากขึ้น ซึ่งแม้จะสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่กรณีที่เพิ่งเป็นร่างกายเราก็สามารถกำจัดเชื้อโรคเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งยา
ไข้เฉียบพลันในผู้ใหญ่ที่ควรจะไปพบแพทย์ ได้แก่
- ผู้ที่มีไข้หลังกลับจากการเดินทางไปต่างถิ่นมา และเป็นเกิน 5 วันโดยไม่ทราบว่าเป็นจากอะไร (ยกเว้นกลับจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดต่อที่ทางสาธารณสุขเฝ้าระวัง กรณีนี้ต้องไปพบแพทย์ตั้งแต่ที่มีไข้ 1-2 วันแรก)
- ไข้ที่มีอาการหนาวและสั่น (มือสั่น ตัวสั่น)
- ไข้ที่มีอาการร่วมดังต่อไปนี้
- เจ็บคอมาก กลืนน้ำลายไม่ได้
- ไอ เจ็บอก หายใจหอบ
- ปวดหู
- มีผื่นแดงหรือจ้ำเลือด
- ซึม เรียกไม่ค่อยตื่น
- ชัก
- ปวดหัวมาก
- ปวดท้อง กดเจ็บตรงที่ปวด
- ปวดเอว อาเจียน ปัสสาวะขัด
- มีอาการของการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์
- ปวดข้อ ข้อบวม
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะถามประวัติและอาการร่วมอื่น ๆ พร้อมกับตรวจร่างกายหาหลักฐานประกอบโรคที่ต้องสงสัย โรคติดเชื้อส่วนใหญ่มีลักษณะการดำเนินโรคโดยเฉพาะ ทำให้เกิดอาการแสดงตามลำดับ การไปพบแพทย์ทันทีที่มีไข้ไม่ได้ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้น เพราะโรคยังไม่แสดงแยกจากกันชัดเจน แม้จะเจาะเลือดก็อาจยังวินิจฉัยไม่ได้ เมื่อวินิจฉัยไม่ได้ก็ยังรักษาให้ตรงโรคไม่ได้ ได้แต่ให้ยาทุเลาอาการ ซึ่งก็อาจทำให้ผู้ป่วยสังเกตเห็นอาการอื่น ๆ ได้น้อยลง (ยังไม่รวมการที่ต้องถูกเจาะเลือดและเสียค่าตรวจก่อนเวลาที่ควรทำ)
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นไข้
- พักงาน (หรือให้เด็กพักเรียน) อยู่บ้านพักผ่อนให้พอ
- ดื่มน้ำบ่อย ๆ ยิ่งถ้ามีท้องเสียยิ่งต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น
- ถ้ามีน้ำมูกให้สั่งออกทุกครั้ง อย่าสูดกลับเข้าไป
- วัดอุณหภูมิเป็นประจำ ทานยาลดไข้เมื่อวัดไข้ได้ > 38.5°C (ห่างกันทุก 6 ชั่วโมง) เมื่อไข้ลงให้ไปอาบน้ำ จะทำให้ไข้ลงนานขึ้นไม่ต้องทานยาบ่อย ๆ
- สำหรับเด็ก ให้ป้อนยาลดไข้พร้อมกับเช็ดตัวเมื่อวัดไข้ได้ > 38°C ยาลดไข้จะออกฤทธิ์หลังทานไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง การเช็ดตัวด้วยจะช่วยให้ไข้ลงเร็วขึ้น เพราะเด็กบางคนเมื่อไข้ขึ้นสูงอาจชักได้
- ทานอาการอ่อน และอาการที่ช่วยแก้ร้อนใน เช่น พวกผัก (แตงกวา แตงไทย ปวยเล้ง ตำลึง รากบัว) ผลไม้ (มะเฟือง ส้มโอ กระเจี๊ยบ) น้ำต้มสมุนไพร (เก๊กฮวย หล่อฮั้งก้วย ใบบัวบก) และงดอาหารทอดชั่วคราว
วิธีการเช็ดตัวเด็ก
- ถอดเสื้อผ้าเด็กออกให้หมด
- ใช้ผ้าชุบน้ำที่อุณหภูมิห้อง เช็ดตามใบหน้า ลำคอ รักแร้ อก ท้อง ขาหนีบ หลัง และแขนขา
- ถ้าอากาศร้อนให้เปิดพัดลมช่วยด้วย
- หลังเช็ดเสร็จรอให้ตัวแห้งก่อนค่อยใส่เสื้อผ้าชุดใหม่
เมื่อเด็กเป็นไข้แล้วชัก
- จับตัวเด็กให้นอนตะแคง เพื่อกันการสำลัก
- กอดเด็กไว้ เพื่อไม่ให้แขนขาฟาดกับวัตถุ
- อย่าสอดสิ่งใดเข้าในปากเด็กเอง เพราะเด็กอาจกัดจนฟันหัก หรือวัตถุนั้นอาจตกลงไปในคอ
- อาการชักส่วนใหญ่จะหยุดเอง หลังหยุดชักแล้วให้คลายเสื้อผ้าเด็กแล้วใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ห่อไว้ภายใน แล้วรีบพาไปพบแพทย์
ไข้เรื้อรัง (> 14 วัน)
ไข้ที่เป็นนานกว่า 14 วันจะคิดถึงโรคติดเชื้อน้อยลง จะเหลือแต่โรคติดเชื้อเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคทางภูมิคุ้มกัน และโรคที่พบน้อยอื่น ๆ ผู้ป่วยเหล่านี้ควรที่จะเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาล เพราะจะได้วัดอุณหภูมิทุก 6 ชั่วโมง และบันทึกเป็นกราฟขึ้นลงของไข้
สาเหตุที่พบบ่อยของไข้เรื้อรัง
เมื่อทบทวนเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เป็นไข้มานาน ๆ จากทั่วโลก สาเหตุที่พบบ่อยจะเป็นโรคใน 4 กลุ่ม ดังนี้
โรคติดเชื้อ | โรคเนื้องอก | โรคภูมิคุ้มกัน | โรคอื่น ๆ |
- วัณโรค - ฝีในช่องท้อง - ฝีที่ฟัน - เยื่อบุหัวใจอักเสบ - กระดูกอักเสบ - ไซนัสอักเสบ - ต่อมลูกหมากอักเสบ - โรคติดเชื้อ CMV - โรคติดเชื้อ Epstein-Barr - โรคติดเชื้อ HIV - โรค Lyme | - มะเร็งเม็ดเลือดขาว - มะเร็งต่อมน้ำเหลือง - มะเร็งไต - มะเร็งลำไส้ใหญ่ - มะเร็งตับ - มะเร็งตับอ่อน - มะเร็งระยะแพร่กระจาย - กลุ่มอาการ Myelodysplastic - มะเร็งชนิดซาร์โคมา | - Still's diseases - Polymyalgia rheumatica - Temporal arteritis - ไข้รูห์มาติก - ลำไส้อักเสบ - กลุ่มอาการไรเตอร์ - โรค SLE - โรคที่มี vasculitis อื่น ๆ | - ไข้จากยา - ไข้ปลอม - ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ - โรคแทรกซ้อนจากตับแข็ง - หลอดเลือดดำอักเสบ - โรค Sarcoidosis |
ยาที่ทำให้เกิดไข้
ไข้จากยามักเริ่มประมาณวันที่ 7-10 หลังใช้ยาติดต่อกัน และจะหายไปภายใน 48 ชั่วโมงหลังหยุดยา ผู้ป่วยที่เป็นไข้จากยาจะไม่ค่อยซมเพราะพิษไข้แม้จะมีไข้สูง ยาที่พบบ่อยว่าทำให้เกิดไข้ในลักษณะนี้ได้แก่ (รายชื่อข้างล่างนี้เป็นชื่อสามัญ/ชื่อทางเคมีของยา)
ยาต้านจุลชีพ | กลุ่ม Aminoglycosides, กลุ่ม Cephalosporins, กลุ่ม Macrolides, กลุ่ม Penicillins, กลุ่ม Sulfonamides, Amphotericin B, Clindamycin, Minocycline, Nitrofurantoin, Vancomycin |
ยารักษาวัณโรค | Ethambutol (พบน้อย), Isoniazid, Pyrazinamide, Rifampicin |
ยาโรคหัวใจ | Atropine, Procainamide, Quinidine |
ยาลดความดัน | Captopril, Hydralazine, Hydrochlorothiazide, Methyldopa, Nifedipine |
ยาลดไขมันในเลือด | Clofibrate |
ยารักษาโรคกระเพาะ | Cimetidine, Ranitidine |
ยาแก้อาเจียน | Meperidine |
ยาแก้ปวด ลดการอักเสบ | Aspirin, Ibuprofen, Sulindac |
ยารักษาโรคเก๊าท์ | Allopurinol |
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด | Heparin |
ยากันชัก | กลุ่ม Barbiturates, Carbamazepine, Phenytoin |
ยาควบคุมอาการทางจิต | กลุ่ม Phenothiazines, กลุ่ม Tricyclic antidepressants |
ยากระตุ้นภูมิต้านทาน | Interferons |
แนวทางการวินิจฉัย
การวินิจฉัยต้องอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ดูรูปแบบการขึ้นลงของไข้สัก 2-3 วัน สอบถามถึงแหล่งที่อยู่อาศัย การเดินทาง การรักษามาก่อนหน้านี้ หากมีไข้จริงและตรวจร่างกายไม่พบระบบที่ต้องสงสัยจะได้รับการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ทรวงอก เพาะเชื้อในเลือดและปัสสาวะ หากผลกลับมาปกติ อาการเวียนศีรษะต้องอาศัยประวัติที่ละเอียด เช่น ลักษณะของอาการเวียนศีรษะ ระยะเวลาและช่วงเวลาที่มีอาการ อาการร่วมทางหูและทางระบบประสาท ตลอดจนประวัติโรคประจำตัว ยาที่ใช้ประจำ ประวัติโรคทางหู ประวัติการได้รับอุบัติเหตุและการผ่าตัดต่าง ๆ
ในการตรวจร่างกายก็เช่นกัน นอกจากจะต้องตรวจทุกระบบ วัดความดันโลหิตทั้งท่านอน ท่านั่ง และท่ายืน (เพื่อตรวจหาความดันเลือดต่ำขณะเปลี่ยนท่า) แล้ว ยังต้องตรวจหู ตรวจระบบประสาทและการทรงตัว ตรวจการทำงานของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ตรวจดูการกลอกของลูกตาและการเคลื่อนไหวของลูกตาในท่าทางต่าง ๆ อีก
เมื่อแพทย์สงสัยว่ามีความผิดปกติของการทำงานในหูชั้นในอาจได้รับการตรวจพิเศษเพิ่ม เช่น ตรวจการได้ยิน (audiogram) ตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวของหูชั้นใน (videoelectronystagmography, VNG) ตรวจวัดแรงดันของน้ำในหูชั้นใน (electrocochleography, ECOG) ตรวจการทรงตัว (posturography) ตรวจการทำงานของเส้นประสาทการได้ยิน (evoke response audiometry) เป็นต้น ในรายที่สงสัยว่าอาจมีเนื้องอกของเส้นประสาทการทรงตัว หรือความผิดปกติที่สมอง จะตรวจพิเศษทางรังสี เช่น CT scan หรือ MRI
หากไม่สงสัยความผิดปกติที่หูหรือที่สมองเลย แพทย์ก็อาจส่งตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับเกลือแร่ในเลือด เป็นต้น ในกลุ่มนี้กว่าครึ่งหนึ่งอาจไม่พบความผิดปกติอะไร อาการเวียนศีรษะที่เกิดขึ้นจึงตกอยู่ในกลุ่มที่ 4 คือ ไม่ทราบสาเหตุ หรือ ยังไม่ทราบสาเหตุ จนกว่าจะมีอาการร่วมอื่น ๆ แสดงออกมาในเวลาต่อไป