ปวดข้อ (Arthralgia / Arthritis)

คำว่า "ปวดข้อ" (arthralgia) หมายถึงความรู้สึกปวดหรือขัดบริเวณข้อ ซึ่งอาจเกิดจากตัวข้อเองหรือโครงสร้างรอบข้อ เช่น เส้นเอ็น (tendon), จุดยึดเส้นเอ็น (enthesis), ถุงน้ำรอบข้อ (bursa), กล้ามเนื้อ และพังผืด (myofascial structure) การแยกว่าอาการปวดมาจาก “ข้อ” หรือ “รอบข้อ” ทำได้โดยการคลำและขยับดู ถ้าเป็นที่ข้อจริง มักจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

การแยกว่าปวดมาจากข้อหรือรอบข้อมีความสำคัญ เพราะโรคของโครงสร้างรอบข้อก็พบได้บ่อยไม่แพ้กัน หากพบว่าไม่ใช่จากตัวข้อ จะต้องพิจารณาต่อว่าเป็นโครงสร้างใด เช่น เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือถุงน้ำรอบข้อ ซึ่งแต่ละส่วนมีลักษณะเฉพาะ สามารถดูรายละเอียดได้จากสารบัญย่อยของอาการปวดแต่ละข้อ

หากยืนยันว่าเป็นที่ข้อโดยตรง โรคที่พบได้มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ ข้ออักเสบ (Arthritis) และ ข้อเสื่อม (Osteoarthritis, OA) โรคข้อเสื่อมถือเป็นรูปแบบหนึ่งของข้ออักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นช้า ๆ จากการใช้งานสะสม หรือเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคข้ออักเสบอื่น ๆ หรือการบาดเจ็บในอดีต ลักษณะสำคัญของข้อเสื่อมคือ ข้อฝืด ข้อขัด เหยียด-งอไม่สุด ปวดเวลาใช้งาน และอาจผิดรูป แต่โดยรวมยังจัดอยู่ในกลุ่ม “ปวดข้อ” เช่นเดียวกัน

แนวทางการวินิจฉัยอาการปวดที่ข้อ

การวินิจฉัยโรคข้อเริ่มจากพิจารณาว่าอาการเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง (นานกว่า 6 สัปดาห์) และปวดข้อเดียวหรือหลายข้อ จากนั้นจึงจำแนกโรคออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ตามลักษณะดังกล่าว

1. ปวดเฉียบพลันข้อเดียว (หรือ 1-2 ข้อที่ใกล้กัน) ได้แก่

  • ข้ออักเสบจากการบาดเจ็บ
  • ข้ออักเสบจากการติดเชื้อทั่วไปผ่านทางกระแสเลือด (Septic arthritis / Non-gonococcal arthritis)
  • หากไม่มีประวัติการบาดเจ็บ ต้องนึกถึงข้อติดเชื้อเสมอ โดยเฉพาะข้อใหญ่ใกล้ลำตัว เช่น ข้อไหล่หรือข้อสะโพก ผู้ป่วยมักมีไข้สูง และอาจมีแผลติดเชื้อที่ผิวหนัง ปอด หรือทางเดินปัสสาวะเป็นจุดเริ่มต้น

    การวินิจฉัยทำโดยการเจาะน้ำไขข้อเพื่อตรวจและเพาะเชื้อ ซึ่งแม้เพาะเชื้อไม่ขึ้นในบางราย แต่หากตรวจพบเม็ดเลือดขาวมากกว่า 100,000 เซลล์/ลบ.มม. และเป็นนิวโตรฟิลมากกว่า 90% ก็สนับสนุนการติดเชื้อได้

    สำหรับข้อที่เจาะยาก เช่น ข้อ SI, ข้อหัวเหน่า หรือข้อกระดูกไหปลาร้า แพทย์อาจใช้อัลตราซาวด์, CT หรือ MRI เพื่อช่วยวินิจฉัย

  • ข้ออักเสบจากการติดเชื้อโกโนค็อกคัส (Gonococcal arthritis)
  • มักพบในหญิงตั้งครรภ์หรือขณะมีประจำเดือน มีไข้สูงและปวดข้อ 1–2 ข้อที่สลับกันไปมา (migratory arthralgia) พร้อมกับเอ็นอักเสบที่มือหรือเท้า และมีผื่นหรือตุ่มหนองที่ผิวหนัง เช่น นิ้วมือ หน้าแข้ง หรือตาตุ่ม การเพาะเชื้อในเลือดหรือน้ำไขข้อจะพบเชื้อได้ง่าย

  • โรคเกาต์ (Gout)
  • เกิดจากผลึกโมโนโซเดียมยูเรตตกในข้อจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง มักกำเริบหลังดื่มแอลกอฮอล์หรือกินอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล

    ลักษณะเด่นคือปวดบวมแดงร้อนเฉียบพลัน โดยเฉพาะที่โคนนิ้วโป้งเท้า ข้อเท้า ข้อมือ หรือข้อนิ้วมือ หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดปุ่มยูเรต (tophus) รอบข้อในระยะยาว

  • โรคเกาต์เทียม (Pseudogout)
  • เกิดจากผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตตกในข้อ อาการคล้ายเกาต์แต่พบบ่อยที่ข้อเข่า และในผู้สูงอายุ (>60 ปี) ทั้งเพศชายและหญิง อาการกำเริบไม่ได้เกิดจากอาหาร แต่สัมพันธ์กับภาวะขาดน้ำหรือโรคของต่อมพาราไทรอยด์ (Hyperparathyroidism) การตรวจน้ำไขข้อพบผลึกรูปเข็มคล้ายเกาต์ แต่แยกได้ด้วยกล้อง polarized microscopy

  • โรคไรเตอร์ (Reiter’s disease / Reactive arthritis)
  • เกิดหลังการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ สืบพันธุ์ หรือทางเดินอาหาร 2–4 สัปดาห์ พบในเพศชายมากกว่า มีลักษณะจำเพาะคือ triad ได้แก่ ท่อปัสสาวะอักเสบ (urethritis), เยื่อบุตาอักเสบ (conjunctivitis) และข้ออักเสบ (arthritis)

    ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะขัดก่อน จากนั้นไม่นานจะมีไข้ อ่อนเพลีย ตาแดง ขี้ตาเป็นหนอง จากนั้นก็จะมีอาการปวดข้อที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น เข่า เท้า สะโพก และอาจปวดหลังส่วนล่าง (spondyloarthropathy) ร่วมกับเอ็นอักเสบตามจุดยึดต่าง ๆ เช่น เอ็นร้อยหวาย หรือเอ็นใต้ฝ่าเท้า

  • ข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis)
  • ผู้ป่วยโรคผิวหนังสะเก็ดเงินบางรายจะมีอาการปวดข้อร่วมด้วย มักเกิดที่ข้อนิ้วมือหรือตามกระดูกสันหลัง ลักษณะเด่นคือนิ้วบวมเป็นทรงไส้กรอกจากการอักเสบทั่วข้อ และอาจมีเล็บบุ๋ม (pitting nail), เล็บผิดรูป (onychodystrophy), แผ่นเล็บแยกจากปลายนิ้ว (onycholysis) บางรายมีเอ็นอักเสบร่วม เช่น เอ็นร้อยหวาย เอ็นใต้ฝ่าเท้า หรือเยื่อบุตาอักเสบ

  • มีเลือดออกในข้อ จากโรคที่ทำให้เลือดออกง่าย

2. ปวดเฉียบพลันหลายข้อ มักสัมพันธ์กับโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ ได้แก่

  • โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis, RA)
  • เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายข้อตัวเอง พบในหญิงวัย 35–50 ปี มีอาการข้ออักเสบหลายข้อแบบสมมาตรซ้าย-ขวา มีการกร่อนของกระดูกและกระดูกอ่อน ทำให้ข้อผิดรูปในที่สุด

    การวินิจฉัยใช้เกณฑ์ 4 ใน 7 ข้อ ได้แก่ ข้อฝืดตอนเช้าเกิน 1 ชม., ปวดข้อ ≥3 ข้อ, มีข้อของมืออักเสบ, เป็นทั้งซ้ายและขวา, มีปุ่ม rheumatoid nodules, มี Rheumatoid factor ในเลือด, และเอกซเรย์พบความผิดปกติของกระดูก เกณฑ์เหล่านี้ช่วยให้รักษาได้ตรงจุด เพราะยามีผลข้างเคียงสูง

  • โรคติดเชื้อไวรัสทั่วไป เช่น Parvovirus, Rubella, HBV, HCV, HIV, EBV, Mumps ซึ่งอาจทำให้มีไข้ ผื่น และปวดข้อร่วมด้วย
  • โรคเอสแอลอี (Systemic lupus erythematosus, SLE)
  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองอีกชนิดหนึ่ง พบในเพศหญิงมาก ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดอาการได้หลายระบบ (อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะมีอาการครบ)

    เกณฑ์วินิจฉัยของ American College of Rheumatology ปี 1982 ใช้เกณฑ์ 4 ใน 11 ข้อจากตัวย่อ "SOAP BRAIN MD" ได้แก่

    ส่วนอาการทั่วไปที่เป็นกันมาก เช่น ไข้รุม ๆ อ่อนเพลีย ผมร่วง ปวดหลัง ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์นี้

    ในปี 2012 ได้เพิ่มเกณฑ์ว่า หากผลชิ้นเนื้อไตยืนยัน lupus nephritis และตรวจพบ ANA หรือ anti-dsDNA antibody ก็สามารถวินิจฉัยได้เลย

  • โรคไข้รูมาติก (Rheumatic fever)
  • เกิดหลังการติดเชื้อ β-hemolytic streptococcus group A ประมาณ 1–5 สัปดาห์ เนื่องจากผนังเซลล์ของแบคทีเรียตัวนี้มี M protein ซึ่งเป็นโปรตีนที่คล้ายกับโปรตีนของเซลล์ในหัวใจ ข้อต่อ ผิวหนัง เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และของสมอง จึงทำให้แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อไปทำลายเซลล์หัวใจ ข้อต่อ ผิวหนัง และสมองด้วย แต่พบเพียง 3% ของผู้ที่ติดเชื้อแล้วไม่ได้รับยาปฏิชีวนะรักษา ส่วนใหญ่เกิดในเด็กวัย 5-17 ปี

    การวินิจฉัยต้องมีเกณฑ์หลัก ≥2 ข้อ หรือหลัก 1 ข้อ + รอง 2 ข้อ และมีหลักฐานการติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัส

    เกณฑ์หลัก

    เกณฑ์รอง

    หลักฐานของการติดเชื้อ Streptococcus group A

  • โรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่พบน้อย เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว, Serum sickness, ข้ออักเสบจากวัณโรค (Poncet’s disease), หรือกลุ่มอาการ Paraneoplastic เป็นต้น

3. ปวดเรื้อรังข้อเดียว ได้แก่

  • การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรค เชื้อรา
  • โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) พบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะข้อที่รับน้ำหนักมาก เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก หรือข้อกระดูกสันหลัง รวมถึงข้อที่ใช้งานซ้ำ ๆ จากอาชีพ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อ ๆ เมื่อใช้งาน ข้อติดแข็งตอนเช้า และมักดีขึ้นเมื่อได้เคลื่อนไหว
  • โรคเกาต์และเกาต์เทียมที่เป็นเรื้อรัง
  • ภาวะกระดูกตายจากการขาดเลือด (Avascular necrosis) มักเกิดที่ข้อสะโพกข้างใดข้างหนึ่ง โดยจะปวดเวลายืน เดิน หรือรับน้ำหนัก อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ แต่จะค่อย ๆ แย่ลงในระยะยาว จนข้อผิดรูป กล้ามเนื้อลีบ และเดินลำบาก
  • เนื้องอกของข้อ พบได้น้อยมาก มี 2 โรคคือ Synovial chondromatosis และ Pigmented villonodular synovitis ซึ่งเป็นเนื้องอกไม่ร้าย แต่อันตราย เนื่องจากมักเป็นกับผิวข้อที่รับน้ำหนัก เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก ทำให้ปวด บวม และเดินลำบาก
  • โรคข้อที่เกิดจากการชาไม่รู้สึก (Neuropathic arthropathy, Charcot joint) เกิดในผู้ป่วยที่มีการสูญเสียความรู้สึกบริเวณข้อ เช่น ผู้ป่วยเบาหวานหรือไขสันหลังบาดเจ็บ ทำให้ข้อได้รับบาดเจ็บซ้ำโดยไม่รู้ตัว จนเกิดการอักเสบเรื้อรัง ข้อผิดรูป แตก หรือหลุดในที่สุด

3. ปวดเรื้อรังหลายข้อ ได้แก่

  • โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) ที่เป็นเรื้อรัง
  • โรคข้อเสื่อม ที่เป็นหลายข้อ
  • โรคเอสแอลอี ที่คุมอาการไม่ได้
  • โรค Ankylosing spondylitis เป็นการอักเสบเรื้อรังของข้อกระดูกสันหลัง ข้อเชิงกราน ข้อสะโพก และข้อไหล่ พบบ่อยในเพศชายที่มียีน HLA-B27 อาการปวดจะเป็นมากในตอนเช้าและดีขึ้นเมื่อได้ขยับ ในระยะยาวอาจเกิดการเชื่อมติดของข้อกระดูกสันหลังจนเคลื่อนไหวไม่ได้
  • กลุ่มอาการ Hypertrophic osteoarthropathy มีลักษณะเด่นคือ นิ้วปุ้ม (clubbing of the digits) เยื่อหุ้มกระดูกอักเสบ (periostitis) และข้ออักเสบ มักพบร่วมกับโรคเรื้อรังของปอด หัวใจ ตับ หรือทางเดินอาหาร อาการปวดข้อมักเกิดที่ข้อเข่าและข้อเท้า

สรุป

อาการ “ปวดข้อ” อาจเกิดจากโรคของข้อโดยตรงหรือจากโครงสร้างรอบข้อ การแยกแหล่งที่มาของอาการจึงมีความสำคัญต่อการวินิจฉัย โรคที่พบบ่อยได้แก่ ข้ออักเสบติดเชื้อ เกาต์ เกาต์เทียม โรคไรเตอร์ โรคสะเก็ดเงิน ข้อเสื่อม และโรคภูมิต้านทานตนเอง เช่น รูมาตอยด์หรือเอสแอลอี การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียดจะช่วยให้วินิจฉัยได้ถูกต้องและรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันความพิการของข้อในระยะยาว