ปวดข้อมือและมือ (Hand pain)

มือเป็นอวัยวะที่มีกระดูกและข้อต่อมากที่สุดในร่างกาย แต่ละข้อต่อเคลื่อนไหวได้ละเอียดอ่อนด้วยการทำงานร่วมกันของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ จำนวนมาก ช่วยให้มนุษย์ทำงานหนักเบาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังรับความรู้สึกและใช้ในการสื่อสาร มือจึงถือเป็นอวัยวะสำคัญที่สะท้อนวิวัฒนาการขั้นสูงของมนุษย์และมีบทบาทในการสร้างสรรค์โลกอย่างยิ่ง

อาการปวดมือและข้อมืออาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของข้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท หรือถุงน้ำ โดยโรคที่พบบ่อย ได้แก่

โรคเดอเกอแวง (De Quervain's disease)

โรคนี้เป็นการอักเสบของเส้นเอ็นสองเส้นที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของหัวแม่มือ มักเกิดจากการใช้งานมากเกินไป การบาดเจ็บ หรือการอักเสบเรื้อรังของข้อนิ้ว เช่น ในโรครูมาตอยด์ พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้องอุ้มลูกบ่อย ส่วนในผู้ชายมักพบในผู้ที่ทำงานใช้มือหนัก เช่น ทำไร่สวน เล่นเทนนิส หรือกอล์ฟ

อาการคือปวดและบวมบริเวณโคนหัวแม่มือ กดเจ็บ รู้สึกร้อน และหยิบของชิ้นเล็ก ๆ ลำบาก หากกำหัวแม่มือไว้ในกำปั้นแล้วกระดกข้อมือลง (Finkelstein test) จะปวดมาก

การวินิจฉัยอาศัยอาการและการทดสอบ Finkelstein การรักษาคือพักการใช้งานของหัวแม่มือ 4–6 สัปดาห์ อาจใส่สนับหัวแม่มือและประคบเย็นวันละ 3–4 ครั้งร่วมกับยาแก้อักเสบ หากอาการรุนแรงแพทย์อาจฉีดยาแก้อักเสบเฉพาะที่ หรือในรายเรื้อรังอาจต้องผ่าตัดเปิดปลอกเอ็นเพื่อให้เอ็นเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น

โรคข้อนิ้วล็อก (Trigger finger)

เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นนิ้วมือด้านฝ่ามือ ซึ่งมีพังผืดรัดเป็นช่วง ๆ ให้อยู่ติดกับกระดูก เมื่อเรากำและคลายมือ เส้นเอ็นเหล่านี้จะไถลผ่านพังผืด ในบางครั้งเส้นเอ็นอาจหนาตัว บวม หรือมีตุ่มอักเสบ จะติดขัดขณะลอดผ่านพังผืด ทำให้เกิดอาการ “นิ้วล็อก” และปวดเวลาขยับ

โรคนี้มักพบในผู้หญิงวัย 40-60 ปี โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานหรือรูมาตอยด์ รวมถึงผู้ที่ใช้มือซ้ำ ๆ เช่น ชาวนา นักดนตรี หรือนักพิมพ์ดีด

อาการเริ่มจากข้อนิ้วฝืดในตอนเช้า เมื่อขยับไปสักพักจะดีขึ้น ต่อมาจะเกิดอาการนิ้วงอแล้วเหยียดไม่ได้ เมื่อพยายามเหยียดจะมีเสียง “คลิก” และปวดบริเวณโคนนิ้ว อาจคลำได้ก้อนเล็ก ๆ ที่กดเจ็บ

การรักษาเช่นเดียวกับโรคเดอเกอแวง คือพักการใช้งานของนิ้ว 4–6 สัปดาห์ อาจพันผ้าหรือใส่อุปกรณ์กันนิ้วงอซ้ำ

ภาวะเส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับ (Carpal tunnel syndrome)

เกิดจากการที่อุโมงค์บริเวณข้อมือซึ่งเส้นประสาทมีเดียนลอดผ่าน แคบลงจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การใช้งานมือมากเกินไปจนเอ็นบวม การบาดเจ็บเก่า โรครูมาตอยด์ หรือพังผืดหนาตัว ทำให้เส้นประสาทถูกกดทับ มักพบในผู้หญิง

อาการเริ่มจากชาหรือเป็นเหน็บบริเวณฝ่ามือด้านนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งนิ้วนาง รู้สึกเหมือนบวมหรือหนา โดยเฉพาะเมื่อกระดกข้อมือลงนาน 30 วินาที (Phalen test) หากรุนแรงขึ้นจะปวด แสบร้อน หรือมืออ่อนแรง จับของไม่ถนัด บางรายอาจปวดแสบร้อนคล้ายไฟช็อตที่ 3 นิ้วดังกล่าว

การรักษาในรายไม่รุนแรงคือพักมือ ใส่เฝือกอ่อนที่ข้อมือเพื่อลดการใช้งาน และรับประทานยา หากอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นเรื้อรัง แพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ หรือผ่าตัดเปิดอุโมงค์เพื่อลดการกดทับ

โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคนี้เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายอวัยวะของตนเองโดยไม่ทราบสาเหตุ มักเกิดในหญิงวัย 35–50 ปี อวัยวะที่ถูกทำลายบ่อยคือข้อต่อ กระดูกผิวข้อ เยื่อบุข้อ กล้ามเนื้อ เอ็น รวมถึงอวัยวะอื่น เช่น ปอดและไต โรคนี้ทำให้เกิดการอักเสบและการกร่อนของข้ออย่างต่อเนื่อง

ระยะแรกมักมีอาการข้อฝืดในตอนเช้า นานเกิน 1 ชั่วโมง ข้อที่พบบ่อยคือข้อมือและข้อนิ้วมือ โดยจะเป็นหลายข้อและทั้งสองข้าง อาจมีไข้ต่ำ ๆ และอ่อนเพลียร่วมด้วย การวินิจฉัยอาศัยการเอกซเรย์และตรวจเลือด หากไม่ได้รักษาอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ข้อนิ้วผิดรูปและมือพิการในระยะยาว

โรคข้อนิ้วมือเสื่อม (Osteoarthritis)

เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของอาการปวดข้อมือและนิ้วมือ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาจเกิดจากการใช้งานข้อมือมากเกินไป การบาดเจ็บ หรือโรคข้ออักเสบเรื้อรัง เช่น รูมาตอยด์ หรือเกาต์เทียม ข้อที่พบบ่อยคือข้อปลายนิ้ว ข้อกลางนิ้ว และข้อโคนนิ้วหัวแม่มือ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดขัดข้อเวลาใช้งาน และอาจพบปุ่มกระดูกนูนเล็ก ๆ ที่ข้อปลายและข้อกลางนิ้วมือ

โรคข้อนิ้วมือเสื่อมยังไม่มีการรักษาจำเพาะเหมือนข้อใหญ่ที่รับน้ำหนักอื่น ๆ การรักษามีเพียงพักการใช้งานและทานยาแก้อักเสบหากบวมและปวดมาก

ถุงน้ำที่ข้อมือ (Carpal ganglion cyst)

เป็นก้อนถุงน้ำที่เกิดจากปลอกหุ้มเอ็นหรือเยื่อบุข้อบริเวณข้อมือ ภายในมีของเหลวลักษณะใสเหมือนไขข้อ พบได้บ่อยบริเวณหลังข้อมือหรือด้านหน้าข้อมือใกล้โคนนิ้วหัวแม่มือ ก้อนมีขนาดตั้งแต่เมล็ดถั่วจนถึงปลายนิ้วหัวแม่มือ อาจขยับได้เล็กน้อย กดแล้วปวดหรือขัดเวลาใช้งาน พบมากในผู้หญิงอายุ 20–40 ปี

ถุงน้ำอาจยุบหายได้เองหรือกลับมาใหม่ หากไม่มีอาการปวดไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ถ้ามีอาการปวดหรือชา แพทย์อาจเจาะดูดของเหลวออก หรือผ่าตัดออกทั้งก้อนเพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ

สรุป

อาการปวดมือและข้อมือมีสาเหตุได้หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานเกิน การอักเสบของเส้นเอ็น เส้นประสาทถูกกดทับ ไปจนถึงโรคข้ออักเสบเรื้อรัง การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการพักการใช้งานเป็นหัวใจสำคัญในการรักษา หากอาการไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและลดโอกาสพิการของมือในอนาคต