กลั้นปัสสาวะไม่ได้ (Urinary incontinence)
การปัสสาวะของร่างกายถูกควบคุมโดยระบบประสาทหลายส่วนร่วมกัน เริ่มจากระบบประสาทอัตโนมัติพาราซิมพาเธทิกที่ส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาท pelvic nerve ไปยังผนังกระเพาะปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม ปลายประสาทจะหลั่งสาร Acetylcholine กระตุ้นตัวรับ Muscarinic-3 (M3) ทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ (detrusor muscle) หดตัวและขับปัสสาวะออก
ในช่วงที่กระเพาะปัสสาวะยังไม่เต็ม ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเธทิกจะส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาท hypogastric nerve หลั่งสาร Noradrenaline ไปกระตุ้นตัวรับ β3 เพื่อยับยั้งไม่ให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวก่อนเวลา และกระตุ้นตัวรับ α1 ช่วยให้กล้ามเนื้อท่อปัสสาวะหดตัว ป้องกันการไหลซึมของปัสสาวะ
เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ ระบบประสาทโซมาติกซึ่งอยู่ในการควบคุมของเราจะส่งสัญญาณผ่าน pudendal nerve ไปยังกล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลายของท่อปัสสาวะ หลั่ง Acetylcholine กระตุ้นตัวรับ Nicotinic เพื่อให้หูรูดบีบตัวรอจนกว่าจะถึงที่เหมาะสมต่อการปัสสาวะ ดังนั้น การปัสสาวะตามปกติจำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของระบบประสาททั้ง 3 ส่วนนี้
เนื้อหาต่อไปนี้จะกล่าวถึงภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ที่เป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่รวม ภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวจากอาการเพ้อ สับสน ชัก หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะแบบเฉียบพลัน
ประเภทของการกลั้นปัสสาวะไม่ได้
- Stress incontinence — ปัสสาวะเล็ดเมื่อมีแรงดันในช่องท้อง เช่น ไอ จาม ยกของหนัก
สาเหตุหลักมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง พบมากในหญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก เคยคลอดบุตรทางช่องคลอด หรือเคยผ่าตัดอุ้งเชิงกราน เมื่อเกิดแรงดันในช่องท้อง เช่น ขณะไอหรือจาม แรงดันจะส่งลงกระเพาะปัสสาวะ หากกล้ามเนื้อรองรับไม่แข็งแรง ปัสสาวะอาจเล็ด 5–10 ml แต่หูรูดส่วนปลายมักยังบีบตัวได้ทัน
การรักษาเริ่มจากการปัสสาวะเป็นเวลา ทุก 2–3 ชั่วโมง แม้ยังไม่ปวด เพื่อหลีกเลี่ยงการกักปัสสาวะมากเกินไป จากนั้นคือการลดน้ำหนักและฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ถ้าอาการยังมาก อาจใช้อุปกรณ์ pessary ในช่องคลอดเพื่อพยุงคอกระเพาะปัสสาวะ แต่เสี่ยงเพิ่มการติดเชื้อ หากยังไม่ได้ผลอาจพิจารณาการผ่าตัด ซึ่งแม้ช่วยได้มากแต่ไม่เสมอไป และอาจมีผลข้างเคียง เช่น ปัสสาวะไม่ออก กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวขึ้น ติดเชื้อง่าย หรือเจ็บอุ้งเชิงกราน
- Urgency incontinence — ปัสสาวะราดเมื่อปวดปัสสาวะแบบเฉียบพลัน ควบคุมไม่ทัน
เกิดจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากผิดปกติ (overactive bladder) แม้น้ำปัสสาวะยังไม่เต็ม สาเหตุอาจมาจากการติดเชื้อ ความผิดปกติของสมองหรือไขสันหลังบริเวณที่ควบคุมการคลายตัวของกระเพาะปัสสาวะ หรือไม่ทราบสาเหตุ พบได้ทั้งชายและหญิง
หากมีการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาคลายกระเพาะปัสสาวะ และอาการจะดีขึ้นหลังการติดเชื้อหาย แต่หากเกิดจากระบบประสาทหรือไม่ทราบสาเหตุ จะใช้ยากลุ่ม Antimuscarinics หรือ β3-agonists หากไม่ดีขึ้นอาจฉีด Botulinum toxin ที่ผนังกระเพาะปัสสาวะเป็นระยะ ๆ
- Overflow incontinence — ปัสสาวะไหลซึมตลอดเวลา จากการที่กระเพาะปัสสาวะเต็มเกินกำลัง ซึ่งอาจเกิดจาก
3.1 ท่อปัสสาวะอุดตัน เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือพังผืดรัดท่อปัสสาวะ ทำให้น้ำปัสสาวะออกไม่ได้ ผู้ป่วยจะ ปวดปัสสาวะมาก หากไม่ได้รับการสวนปัสสาวะ แรงดันจะดันให้ปัสสาวะซึมออกมาเอง
ในเพศชายที่มีต่อมลูกหมากโต ช่วงแรกจะเริ่มจากปัสสาวะบ่อยและไม่พุ่ง หากไม่ได้รักษา ปัสสาวะจะออกไม่หมดในแต่ละครั้ง ทำให้สะสมเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดเกิดการไหลซึม การรักษาเริ่มจากการใส่สายสวนก่อน แล้วจึงแก้ไขสาเหตุ
3.2 ระบบประสาทส่วนที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะเสีย เช่น สมองหรือไขสันหลังบาดเจ็บ ทำให้กระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัว ผู้ป่วยจะมี ไม่มีอาการปวด และมักมีอ่อนแรงหรืออัมพาตร่วมด้วย การรักษาคือใส่สายสวนถาวร เปลี่ยนทุก 10–14 วัน หากสภาพดีขึ้น อาจใช้การกระตุ้นเส้นประสาท (sacral nerve stimulation) หากไม่สามารถใส่สายสวนได้ อาจต้องผ่าตัดเปิดกระเพาะปัสสาวะหรือใส่สายสวนที่ท่อไต
3.3 เกิดทางเชื่อม (Fistula) ระหว่างทางเดินปัสสาวะกับช่องคลอดหรือทวารหนัก ทำให้มีปัสสาวะซึมตลอดเวลา หรือซึมหลังปัสสาวะเสร็จ มักพบในผู้เคยผ่าตัดหรือฉายแสง ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปิดทางเชื่อม
- Nocturnal enuresis — ปัสสาวะรดที่นอนขณะหลับ
มักเกิดจากหูรูดคลายตัวมากในช่วงหลับลึก หากดื่มน้ำมากก่อนนอนหรือไม่ได้ปัสสาวะก่อนเข้านอน เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มหูรูดจะต้านไม่ไหว พบในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ การรักษาคือหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนนอน ปัสสาวะให้เป็นเวลา อาจใช้ยา Imipramine หรือ Duloxetine เพื่อเพิ่มแรงหูรูด และในผู้ป่วยโรคเบาจืดอาจใช้ Desmopressin เพื่อลดปริมาณน้ำปัสสาวะ
- Mixed incontinence
เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงนำมาก่อน ทำให้มีอาการเล็ดเวลาไอจาม จากนั้นหูรูดเริ่มปิดไม่สนิท หรือมีการติดเชื้อซ้ำจนกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป การรักษาต้องเน้นทั้งการบริหารอุ้งเชิงกราน และอาจใช้ยายับยั้งการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะหรือยากระตุ้นหูรูดร่วมด้วย
ยาที่อาจทำให้กลั้นปัสสาวะไม่ได้
ก่อนสรุปสาเหตุ ควรตรวจสอบยาที่ใช้อยู่ เพราะยาหลายชนิดอาจทำให้อาการมากขึ้นได้ด้วยกลไกต่างกัน ดังนี้
- ยาที่ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อหูรูด อาจทำให้ปัสสาวะเล็ดเวลาไอจาม เช่น
- ยาลดความดันกลุ่มปิดตัวรับอัลฟา (Prazosin, Doxazosin)
- ยาที่มีผลข้างเคียงเรื่องไอมาก อาจทำให้ปัสสาวะเล็ดบ่อย เช่น
- ยาลดความดันกลุ่มต้านเอซ (Enalapril, Perindopril)
- ยาที่คลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ อาจทำให้กระเพาะปัสสาวะเต็มจนล้นซึม เช่น
- ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นช่องแคลเซียม (Amlodipine, Manidipine)
- ยาที่ทั้งคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะและทำให้ง่วงซึม อาจทำให้กระเพาะปัสสาวะเต็มจนล้นซึมหรือราดไม่รู้ตัว เช่น
- ยาคลายกล้ามเนื้อ (Norgesic, Mydocalm, Myonal)
- ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Tramadol, Morphine, Fentanyl)
- ยาแก้แพ้
- ยารักษาโรคจิตประสาทและยานอนหลับ
- ยารักษาโรคพาร์กินสัน
- ยาคลายกระเพาะปัสสาวะ (รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากไป แต่ใช้ขนาดสูงเกินไป)
- ยาที่เพิ่มปริมาณน้ำปัสสาวะ เช่น
- ยาขับปัสสาวะ
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ยาที่ทำให้มีน้ำคั่งในร่างกาย เสี่ยงต่อการรดตอนกลางคืน เช่น
- ยาแก้ปวดข้อกลุ่มต้าน COX-2 (Arcoxia, Celebrex)
- ยารักษาเบาหวานกลุ่มไธอะโซลิดีนไดโอน (Utmos)
การตรวจวินิจฉัย
เมื่อมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินสาเหตุอย่างถูกต้อง โดยสตรีควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ ส่วนบุรุษควรเริ่มต้นที่แพทย์ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ
แม้อาการที่สังเกตได้ เพศ และประวัติทางการแพทย์จะพอช่วยบอกแนวโน้มของสาเหตุได้ แต่ก่อนทำการรักษาใด ๆ แพทย์จำเป็นต้องตรวจเพื่อยืนยันให้แน่ชัด ขั้นแรกมักตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือไม่ หากพบการติดเชื้อจะต้องรักษาก่อน แล้วประเมินอีกครั้งว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไต และคัดกรองโรคเบาหวาน เพราะระดับน้ำตาลสูงอาจทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นได้
ต่อจากนั้น แพทย์จะทำ Cough stress test เพื่อตรวจว่ามีปัสสาวะเล็ดเมื่อไอหรือจามจริงหรือไม่ พร้อมกับการวัดปริมาณปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะหลังถ่ายเสร็จ (Postvoid residual, PVR) หากเป็นเพศชายและพบว่ามีปัสสาวะค้างเกิน 50 ml อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดของต่อมลูกหมาก
ถ้าผลการตรวจเบื้องต้นยังไม่ชัดเจน หรือสงสัยว่ามีความผิดปกติแบบผสมหลายสาเหตุ แพทย์อาจส่งตรวจยูโรพลศาสตร์ (Urodynamic study) ซึ่งเป็นการประเมินการทำงานของระบบขับปัสสาวะตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะจนถึงท่อปัสสาวะ ประกอบด้วยการตรวจต่อไปนี้
- Uroflowmetry (ตรวจทิศทาง ปริมาณ และอัตราการไหลของปัสสาวะ)
- Cystometry (ประเมินแรงดันภายในกระเพาะปัสสาวะขณะบีบตัวและคลายตัว)
- EMG (ตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดก่อน ขณะ และหลังปัสสาวะ)
- Voiding cystourethrogram (ดูโครงสร้างกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะขณะกำลังปัสสาวะ)
การตรวจทั้งหมดนี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจสาเหตุและกลไกความผิดปกติของระบบควบคุมการขับปัสสาวะได้อย่างละเอียด เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
สรุป
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้มีหลายรูปแบบและมีที่มาจากหลายระบบของร่างกาย ทั้งโครงสร้างกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูด ระบบประสาท รวมถึงยาที่ใช้ประจำ การวินิจฉัยจำเป็นต้องประเมินอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ประวัติการใช้ยา การตรวจหาการติดเชื้อ การประเมินการทำงานของไตและระดับน้ำตาล ไปจนถึงการทดสอบเฉพาะทางอย่าง Cough stress test และ Urodynamic study เพื่อช่วยระบุสาเหตุที่แท้จริงของอาการ และสามารถเลือกวิธีรักษาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ที่มีอาการจึงควรพบแพทย์เฉพาะทางตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปรับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
บรรณานุกรม
- "Urinary Incontinence." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Urology Care Foundation (8 ธันวาคม 2568).
- Patrick J. Shenot. 2021. "Neurogenic Bladder." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา MSD Manual. (8 ธันวาคม 2568).
- Christine Khandelwal & Christine Kistler. 2013. "Diagnosis of Urinary Incontinence." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Am Fam Physician. 2013;87(8):543-550. (8 ธันวาคม 2568).