ปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea)
ปวดประจำเดือน หมายถึง การปวดบริเวณท้องน้อยที่สัมพันธ์กับรอบเดือน การปวดประจำเดือนมีทั้งแบบที่ไม่ได้เกิดจากพยาธิสภาพ (primary dysmenorrhea, ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ) และแบบที่เกิดจากพยาธิสภาพของอวัยวะภายใน (secondary dysmenorrhea, ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ)
การปวดประจำเดือนปฐมภูมิเป็นภาวะปกติของการมีรอบเดือนโดยทั่วไป เนื่องจากบางครั้งมดลูกหดเกร็ง (เพื่อขับเลือดออกมา) จนทำให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงถูกบีบรัดไปด้วย จนทำให้มดลูกขาดเลือด อาการปวดประจำเดือนปฐมภูมิอาจรุนแรงในช่วงวัยสาว โดยเฉพาะภายใน 3 ปีแรกของเด็กที่เริ่มมีระดู ลักษณะคือจะเริ่มปวดก่อนระดูมาไม่กี่ชั่วโมงและอยู่เพียง 1-2 วันแรกที่ประจำเดือนมา โดยจะปวดมวนบริเวณท้องน้อยเหนือหัวเหน่า ไม่เลยขึ้นมาเหนือสะดือ และไม่สัมพันธ์กับการกดหรือไม่กดท้อง อาจมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ ซึ่งถ้าเอามือกดท้องไว้อาการปวดบิดจะดีขึ้น บางรายอาจรู้สึกตัวรุม ๆ ปวดศีรษะ ท้องเดิน ใจคอหงุดหงิดร่วมด้วย เมื่ออายุมากขึ้นอาการปวดประจำเดือนปฐมภูมิจะค่อย ๆ บรรเทาเบาบางลง
การปวดประจำเดือนปฐมภูมิสามารถทุเลาลงได้ง่ายเมื่อทานยาแก้ปวดธรรมดาเพียง 1-2 เม็ด ส่วนใหญ่เพียงได้นั่งหรือนอนพักก็จะรู้สึกทนได้
อาการปวดประจำเดือนที่ผิดไปจากข้างต้นถือเป็นการปวดประจำเดือนทุติยภูมิทั้งสิ้น ซึ่งอาจมีลักษณะ (แต่ไม่จำกัด) ดังต่อไปนี้
- ปวดครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนมาก่อน
- ปวดก่อนที่ระดูจะมาหลายวัน
- ปวดไม่หายแม้ระดูจะหมดไปแล้ว
- วันที่ 3-5 ปวดมากกว่าวันที่ 1-2 ของประจำเดือน
- ตำแหน่งที่ปวดอยู่ทางด้านซ้ายหรือขวามากกว่าอีกด้าน หรือปวดร้าวขึ้นมาด้านบน
- กดท้องตรงที่ปวดแล้วยิ่งปวดมากขึ้น
- ยาแก้ปวดธรรมดาเอาไม่อยู่
- มีไข้สูงตั้งแต่ 39°C ขึ้นไป
อาการปวดประจำเดือนทุติยภูมิทุกรูปแบบจำเป็นต้องได้รับการตรวจอัลตราซาวด์หาความผิดปกติของมดลูกและรังไข่ที่อาจมี
สาเหตุของการปวดประจำเดือนทุติยภูมิ
สาเหตุที่ทำให้มีอาการปวดประจำเดือนแตกต่างจากคนทั่วไปอาจเกิดจาก
- ความผิดปกติที่มดลูก
- มีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งตอบสนองต่อฮอร์โมนเจริญเข้าไปในส่วนอื่น ถ้าเจริญเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูกจะเรียกว่า Adenomyosis ถ้าเจริญอยู่ในอวัยวะอื่นจะเรียกว่า Endometriosis ที่พบบ่อยคืออยู่ที่รังไข่ ท่อนำไข่ เนื้อเยื่อด้านหลังของมดลูก และที่กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น สองภาวะนี้ถือเป็นความผิดปกติที่พบบ่อยของอาการปวดประจำเดือนทุติยภูมิ
- มีเนื้องอกไม่ร้ายภายในมดลูกที่เรียกกันว่า Uterine fibroids หรือ Myoma uteri ถ้ามีขนาดเล็กแค่เป็นติ่งเนื้อก็จะเรียกว่า Endometrial polyps
- มีห่วงคุมกำเนิดอยู่ภายในมดลูก
- มีการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ตั้งครรภ์แล้วแท้ง
- ความผิดปกติที่รังไข่ เช่น มีถุงน้ำหรือเนื้องอกที่รังไข่
- ความผิดปกติที่อุ้งเชิงกราน
- มีพังผืดภายในอุ้งเชิงกราน ทำให้อวัยวะยึดติดกัน การหดตัวของมดลูกอาจมีการดึงรั้งพังผืดให้ตึงมากขึ้น
- มีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease)
- ความผิดปกติของอวัยวะอื่น เกิดร่วมกันในขณะมีประจำเดือน
- ไส้ติ่งอักเสบ
- ลำไส้อักเสบ (Inflammatory bowel disease)
- ถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis)
- โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome)
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Interstitial cystitis)
- นิ่วอุดท่อไต
แนวทางการวินิจฉัย
สูตินรีแพทย์จะทำการซักประวัติรอบเดือน ประวัติการตั้งครรภ์ ประวัติการผ่าตัด ประวัติโรคภายในสตรีที่เคยเป็น รวมทั้งโรคประจำตัวอื่น ๆ จากนั้นจะสอบถามลักษณะอาการปวดท้องที่สงสัยว่าจะเกิดจากความผิดปกติโดยละเอียด
ในรายที่อาการปวดเข้าได้กับการปวดประจำเดือนทุติยภูมิ แพทย์จะทำการตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวด์เป็นหลัก ซึ่งมักจะให้ข้อมูลพอว่าจะต้องตรวจเพิ่มไปในแนวทางใด บางครั้งแพทย์อาจต้องตรวจปัสสาวะดูการตั้งครรภ์ เอกซเรย์ช่องท้อง หรือตรวจเลือดเพิ่ม หากมีความจำเป็นก็จะส่องกล้องดูภายในอุ้งเชิงกรานและทำการตรวจชิ้นเนื้อด้วย
แนวทางการรักษา
ถ้าการตรวจพบความผิดปกติ การรักษาก็จะมุ่งเป้าที่สาเหตุ ถ้าตรวจไม่พบความผิดปกติ ซึ่งก็ยังอาจเป็นภาวะ adenomyosis หรือ endometriosis ได้อยู่ (เพราะผลการสุ่มตรวจชิ้นเนื้ออาจยังไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้) แพทย์อาจใช้ฮอร์โมนเพื่อควบคุมการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูกร่วมกับยาแก้ปวดชนิด NSAIDs ดูก่อน หากไม่ได้ผลถึงจะทำการตัดมดลูก
กรณีที่เป็นการปวดประจำเดือนปฐมภูมิ แพทย์อาจให้ยาต้านการบิดเกร็ง (Antispasmodics) เช่น ไฮออสซีน (Hyoscine) หรือยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ลด Prostaglandins เช่น กลุ่ม NSAIDs, COX-2 inhibitors ผู้ป่วยอาจใช้ผ้าร้อนประคบหน้าท้องหรือใช้วิธีนวดหลังส่วนล่าง และควรงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวยิ่งขึ้น