คลอไรด์ในเลือดสูง (Hyperchloremia)

ขณะที่ร่างกายมีกลไกควบคุมระดับโซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม และไบคาร์บอเนตในเลือดให้อยู่ในระดับปกติอยู่เสมอ คลอไรด์ในเลือด (แม้จะมีระดับปกติคือ 96-106 mEq/L) กลับเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเกินค่าปกติได้เพื่อปรับสมดุลของเกลือแร่ตัวอื่น ๆ เมื่อเกลือแร่ที่ผิดปกติกลับสู่ค่าเดิมแล้ว ระดับคลอไรด์จึงจะปรับตามให้กลับมาอยู่ในช่วงปกติภายหลัง ดังนั้น ระดับคลอไรด์ที่ผิดปกติจึงมักเป็น ตัวสะท้อนความผิดปกติอื่นที่เป็นต้นเหตุ ซึ่งต้องค้นหาและแก้ไขที่สาเหตุนั้น ไม่ใช่มุ่งลดหรือเพิ่มระดับคลอไรด์โดยตรง

หากเปรียบโซเดียม (Na+) เป็น “ราชา” ของอิออนในเลือด คลอไรด์ (Cl-) ก็เปรียบเสมือน “ราชินี” ที่เคลื่อนที่คู่กันเสมอ (ยกเว้นในภาวะที่เสียสมดุลของเกลือแร่หรือกรด-ด่าง) นอกจากหน้าที่รักษาสมดุลประจุและกรด-ด่างในเลือดแล้ว คลอไรด์ยังช่วยควบคุมการทำงานของสารสื่อประสาท GABA, ควบคุมสมดุลกรด-ด่างในเม็ดเลือดแดงขณะที่นำพาคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปฟอกที่ปอด (โดย chloride-bicarbonate exchanger ที่ผิวของเม็ดเลือดแดง*), เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดในกระเพาะ (HCl) ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมวิตามินบี 12, และยังเป็นปัจจัยร่วมในขบวนการเผาผลาญอาหารต่าง ๆ ของร่างกาย

* ในภาวะที่คาร์บอนไดออกไซด์คั่ง (Respiratory acidosis) เม็ดเลือดแดงจะเก็บไบคาร์บอเนตไว้และขับคลอไรด์ออกนอกเซลล์ ส่วนในภาวะที่หายใจเร็วจนคาร์บอนไดออกไซด์เหลือน้อย (Respiratory alkalosis) เม็ดเลือดแดงจะขับไบคาร์บอเนตหรือด่างออกไป และดึงคลอไรด์เข้าสู่เซลล์แทน

สาเหตุของคลอไรด์ในเลือดสูง

หมายเหตุ: คลอไรด์อาจ “สูงเทียม” ได้หากมีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อใช้วิธีตรวจแบบ colorimetric assay

สาเหตุของภาวะคลอไรด์ในเลือดสูงแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ภาวะที่สมดุลกรด-ด่างปกติ และภาวะที่สมดุลกรด-ด่างผิดปกติ

  1. กลุ่มที่กรด-ด่างปกติ อาจมีคลอไรด์สูงจาก
    • ได้รับเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) มากเกินไป ทั้งจากอาหาร น้ำเกลือ หรือการจมน้ำทะเล
    • ภาวะขาดน้ำ ซึ่งทั้งโซเดียมและคลอไรด์ในเลือดจะเพิ่มขึ้น
    • กลุ่มอาการ Cushing syndrome หรือการใช้ยากลุ่ม Cortisone
    • ภาวะ Hyperparathyroidism
    • ภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีอาการชัก (Eclampsia)
    • ได้รับ Bromide มากเกินไป (เป็นส่วนประกอบในยาบางชนิด)
    • ใช้ยา Ammonium chloride, Androgens, Estrogens, Guanethidine, Hydrochlorothiazide, Methyldopa, และกลุ่มยาเอนเสด (NSAIDs) มากเกินไป

  2. กลุ่มที่กรด-ด่างผิดปกติ อาจมีคลอไรด์สูงจาก


แนวทางการตรวจรักษา

ภาวะคลอไรด์ในเลือดผิดปกติมักมาคู่กับความผิดปกติของเกลือแร่ตัวอื่น หรือความผิดปกติของกรด-ด่างในเลือด เพราะคลอไรด์เป็นตัวปรับสมดุลของแร่ธาตุอื่น ๆ โดยตัวมันเองภาวะคลอไรด์ในเลือดสูงแทบไม่ทำให้เกิดอาการอะไร อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการของโรคหรือภาวะที่เป็นต้นเหตุมากกว่า การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการซักประวัติและการตรวจผลเกลือแร่ทั้งหมด ในรายที่สงสัยภาวะ Respiratory alkalosis อาจจำเป็นต้องตรวจวัดก๊าซในเลือดแดงเพิ่ม

หลักการรักษาคือแก้ไขที่ “สาเหตุ” ไม่ใช่แก้คลอไรด์สูงโดยตรง เพราะการลดคลอไรด์โดยไม่แก้สาเหตุจะเป็นการรบกวนกลไกชดเชยตามธรรมชาติของร่างกาย

สรุป

คลอไรด์ในเลือดสูงเป็นสัญญาณสะท้อนความผิดปกติของสมดุลเกลือแร่หรือกรด-ด่างมากกว่าจะเป็นโรคที่เกิดจากคลอไรด์โดยตรง สาเหตุมีตั้งแต่การได้รับเกลือมากเกินไป ภาวะขาดน้ำ ยา และโรคของระบบต่อมไร้ท่อ ไปจนถึงความผิดปกติของระบบหายใจและไต การวินิจฉัยต้องดูร่วมกับค่าการตรวจเกลือแร่อื่นและประวัติของผู้ป่วย ส่วนการรักษาต้องแก้ไขที่ต้นเหตุเสมอ เมื่อสาเหตุได้รับการแก้ไข ระดับคลอไรด์จะกลับสู่ภาวะปกติเอง

บรรณานุกรม

  1. "Serum chloride." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (29 พฤศจิกายน 2568).
  2. "Hyperchloremia." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Wikipedia. (29 พฤศจิกายน 2568).
  3. "Lab Test: Chloride (Serum) Level." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Evidence-based Medicine Consult. (29 พฤศจิกายน 2568).