การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน
(Esophagogastroduodenoscopy, EGD)

ทางเดินอาหารส่วนบนที่กล้องสามารถผ่านไปได้ คือ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนั่ม การส่องกล้องชนิดนี้เป็นทั้งการตรวจวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค โดยมีข้อบ่งชี้ในการตรวจดังนี้

  1. วินิจฉัย...
    • อาการในท้องที่ยังมีอยู่ หลังได้รับการรักษาที่เหมาะสมไปสักพักหนึ่งแล้ว
    • อาการในท้องที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ในผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่ไม่มีประวัติกินยาแก้ปวด แต่มีน้ำหนักลดแทน (คัดกรองโรคมะเร็ง)
    • อาการกลืนลำบากหรือกลืนแล้วเจ็บ
    • อาการคล้ายกรดไหลย้อนที่กินยาแล้วไม่ดีขึ้น
    • อาการกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ที่หาสาเหตุไม่ได้ในทารก
    • อาการอาเจียนบ่อย ที่ยังหาสาเหตุไม่ได้
    • ภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหาร ทั้งเฉียบพลัน (อาเจียนเป็นเลือด) และเรื้อรัง (ซีด + stool occult blood positive + ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ปกติ)
    • ประเมินภาวะท้องเสียในผู้ป่วยที่มีโรคของลำไส้เล็ก เช่น Celiac disease.
    • ดูการบาดเจ็บของทางเดินอาหารหลังกลืนกรด/ด่างเข้าไประยะหนึ่ง
    • ตรวจความสมบูรณ์ของทางเดินอาหารส่วนบนก่อนทำการปลูกถ่ายอวัยวะ
    • ประเมินความเรียบร้อยภายในทางเดินอาหาร หลังศัลยแพทย์ผ่าตัด/ต่อทางเดินอาหาร ในห้องผ่าตัด
    • วินิจฉัยกลุ่มอาการ Familial Adenomatous Polyposis syndrome (ต้องมีประวัติในครอบครัว)
    • ต้องการนำชิ้นเนื้อหรือน้ำในกระเพาะไปตรวจ
  2. รักษา...
    • ดึงวัตถุที่ไม่ใช่อาหารออก
    • ถ่างขยาย หรือใส่ stent ในรายที่มีทางเดินอาหารตีบตัน
    • รักษาโรค Achalacia ด้วย botulinum toxin หรือ balloon dilation
    • รัดหลอดเลือดโป่งพองของหลอดอาหาร (esophageal varices)
    • หยุดเลือดออกจากกระเพาะด้วยการจี้หลอดเลือด
    • ใส่สายป้อนอาหารทางกระเพาะหรือลำไส้เล็ก (gastrostomy or jejunostomy)
    • รักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับทางเดินอาหารส่วนบน

ข้อห้ามในการทำ

  1. มีลำไส้ทะลุ
  2. มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
  3. มี Toxic megacolon และผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่อาจทนต่อการส่องไม่ได้

สภาพที่ไม่ควรทำถ้าไม่จำเป็น

  1. มีเม็ดเลือดขาวต่ำมาก
  2. มีภาวะที่เลือดออกง่าย (เกล็ดเลือดต่ำ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ)
  3. มีโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดกระเพาะหรือลำไส้ทะลุจากการส่อง
  4. มีหลอดเลือดเอออร์ตาโป่งพอง

การเตรียมตัวก่อนตรวจ

  1. ยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาต้านเกร็ดเลือด แอสไพริน แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าควรงดก่อนหรือไม่ และงดกี่วัน เพราะการส่องที่ไม่ได้เพื่อทำหัตถการใดใดเป็นพิเศษ ไม่เสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกไม่หยุด
  2. งดน้ำและอาหาร 6 - 8 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการตรวจ บางครั้งแพทย์จะนัดให้มานอนโรงพยาบาล 1 คืนก่อนถึงวันตรวจ
  3. เช้าวันตรวจรับประทานยาลดความดันโลหิตได้ แต่ให้งดยาเบาหวาน 1 มื้อตอนเช้า
  4. ถอดฟันปลอมให้ญาติเก็บไว้ก่อนเข้าห้องตรวจ

ขั้นตอนการตรวจ

พยาบาลพ่นยาชาในปากของผู้ป่วยขณะนั่งบนเตียงตรวจ ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้าย วิสัญญีแพทย์ให้ยาคลายความวิตกกังวล พยาบาลนำอุปกรณ์กันฟันกัดกล้องให้ผู้ป่วยกัดเบา ๆ จากนั้นแพทย์จะใส่กล้องตรวจเข้าทางปาก โดยให้ผู้ป่วยช่วยกลืนซึ่งจะทำให้การใส่กล้องง่ายขึ้น ขณะตรวจอาจมีน้ำลายไหลออกมา พยาบาลจะทำการดูดน้ำลายให้เป็นระยะ ๆ ห้ามกลืนน้ำลายขณะที่กล้องอยู่ในลำคอเด็ดขาด เพราะอาจทำให้สำลัก ผู้ป่วยหายใจเข้า-ออกลึก ๆ ยาว ๆ ทางจมูก ไม่เกร็ง ไม่ขยับตัว เบี่ยงเบนความสนใจ โดยมองภาพการตรวจบนจอภาพ แพทย์จะใช้เวลาในการตรวจประมาณ 30 นาที แต่อาจนานกว่านั้นหากต้องทำหัตถการใดใด

สิ่งที่อาจตรวจพบจากการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน คือ

  • ความผิดปกติในหลอดอาหาร เช่น เชื้อรา ตีบตัน แผลถลอก อักเสบ หลอดเลือดโป่งพอง ผนังหนาตัว
  • กระเพาะหรือลำไส้อักเสบ
  • แผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น
  • ติ่งเนื้อ ซึ่งแพทย์จะตัดออกให้
  • เนื้องอก แพทย์จะตัดบางส่วนส่งพยาธิวิทยา

หลังตรวจ

คนไข้จะอยู่ในห้องพักฟื้นอีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง พอรู้ตัว ตื่นดี แพทย์ถึงจะให้กลับบ้านหรือกลับหอผู้ป่วย ห้ามดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารจนกว่าคอจะหายชา เมื่อคอหายชาแล้ว ให้ทดลองจิบน้ำ ถ้าไม่สำลักจึงดื่มได้ หลังยาชาหมดฤทธิ์อาจมีอาการเจ็บคอเหลืออยู่บ้าง แล้วจะค่อย ๆ หายไปใน 1-2 วัน ระหว่างนี้ไม่ควรกินของร้อนจัดหรือเผ็ดจัด

ก่อนกลับบ้านแพทย์จะแจ้งให้ทราบว่าควรงดยาละลายลิ่มเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาต้านเกร็ดเลือด แอสไพริน ต่ออีกกี่วัน และจะนัดมาฟังผลชิ้นเนื้อ (หากมีการส่งตรวจ) หากยังง่วงอยู่ไม่ควรขับรถกลับเอง

เมื่อถึงบ้านให้ผู้ป่วยสังเกตน้ำลายที่บ้วนออกมา อาจมีเลือดปนบ้างเล็กน้อย ซึ่งจะค่อยจางไปใน 1-2 วัน หากยังมีเลือดออกมากผิดปกติให้กลับไปพบแพทย์ หรือถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมาก บริเวณลำคอ หน้าอก ท้อง หายใจลำบาก มีไข้สูง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด

หากไม่มีอาการผิดปกติให้รับประทานอาหารอ่อนหรืออาหารเหลวต่ออีก 2-3 วัน และกินยาตามที่แพทย์จัดให้ (ถ้ามี)

บรรณานุกรม

  1. Rajni Ahlawat, et al. 2020. "Esophagogastroduodenoscopy." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา NIH. (27 กันยายน 2563).
  2. Tony E Yusuf. 2020. "Esophagogastroduodenoscopy (EGD)." [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา Medscape. (27 กันยายน 2563).
  3. "What Is an EGD?" [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา verywellhealth.com (27 กันยายน 2563).