โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflammatory disease)

โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือโรคพีไอดี (PID) หรือที่เรียกว่าโรคปีกมดลูกอักเสบ เป็นภาวะอักเสบติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่โพรงมดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ จนถึงเนื้อเยื่อรอบ ๆ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง เนื่องจากอาจทำให้ท่อนำไข่ตีบตันหรือผิดรูป ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยาก หรือท้องนอกมดลูกได้ในอนาคต นอกจากนี้พังผืดจากการอักเสบยังอาจดึงรั้งลำไส้จนเกิดภาวะลำไส้อุดตันตามมา

ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ได้แก่

  1. มีคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนมีคู่นอนหลายคน
  2. เคยติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
  3. มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 25 ปี
  4. การสวนล้างช่องคลอด ทำให้เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่โพรงมดลูก
  5. การใส่ห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิด
  6. การทำหัตถการในโพรงมดลูก เช่น การขยายปากมดลูก การขูดมดลูก

เชื้อก่อโรค ได้แก่ โกโนเรีย (N. gonorrhoeae), คลาไมเดีย (C. trachomatis), แบคทีเรียที่อยู่ในช่องคลอดเอง และเชื้อกลุ่มไม่ชอบออกซิเจน (Anaerobes)

อาการ

โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบมีอาการสำคัญ 4 อย่าง คือ มีไข้ ปวดท้องน้อย ตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นคล้ายหนอง และเจ็บมากเวลามีเพศสัมพันธ์ ไข้มักจะสูงและหนาวสั่น ส่วนใหญ่อาการปวดท้องน้อยมักเกิดก่อนหรือหลังมีประจำเดือนไม่นาน หากติดเชื้อโกโนเรีย อาการปวดจะรุนแรงมากจนต้องนอนขดตัวงอนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง ผู้ป่วยจะปวดมากขึ้นเวลาเคลื่อนไหว ไม่สามารถเดินตัวตรงตามปกติได้ ถ้าลองให้ผู้ป่วยยืนเขย่งให้ส้นเท้าลอยเหนือพื้น แล้วปล่อยส้นเท้าลงให้สัมผัสกับพื้นเร็ว ๆ และแรง ๆ ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งจะทำให้ปวดท้องน้อยมาก (tip-toe test positive) บางรายอาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด, ปัสสาวะแสบขัด, คลื่นไส้อาเจียน, ถ่ายเหลว, หรือปวดท้องใต้ชายโครงขวา (Fitz-Hugh-Curtis syndrome)

ภาวะแทรกซ้อนระยะสั้น คือ การลุกลามถึงขั้นโลหิตเป็นพิษและเสียชีวิต หรือการเกิดฝีที่รังไข่ในกรณีที่ได้รับยาปฏิชีวนะรักษามาบางส่วน แต่ไม่ตรงกับเชื้อ

ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว คือ การเกิดพังผืดเชื่อมอวัยวะในอุ้งเชิงกรานจนเคลื่อนไหวไม่ได้ตามปกติ ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ท้องนอกมดลูก หรือลำไส้อุดตัน และบางรายอาจมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเวลามีเพศสัมพันธ์

อนึ่ง โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบที่เกิดจากเชื้อคลาไมเดียอาจไม่แสดงอาการอะไรเลย ผู้ป่วยเหล่านี้มักมาปรึกษาแพทย์ด้วยเรื่องมีบุตรยาก และแพทย์ตรวจพบการตีบตันของท่อนำไข่หรือพังผืดดึงรั้งอวัยวะในอุ้งเชิงกรานไปแล้ว



การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการตรวจภายใน ร่วมกับการตรวจปัสสาวะ การตรวจการตั้งครรภ์ การตรวจย้อมและเพาะเชื้อจากตกขาว การตรวจเลือด และการทำอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อแยกโรคอื่น ๆ เช่น ท้องนอกมดลูก ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อักเสบ ลำไส้อุดตัน และฝีรังไข่

ในบางกรณี แพทย์อาจใช้วิธีดูดหนองจากอุ้งเชิงกราน หรือส่องกล้องผ่านหน้าท้องเพื่อตรวจประเมินความรุนแรง และตัดสินใจเรื่องการผ่าตัด

โรคที่ต้องแยกจาก PID ได้แก่

  1. ถุงน้ำรังไข่แตก (Ruptured corpus luteal cyst) อาการปวดท้องน้อยจะเกิดช่วงกลางของรอบเดือน ซึ่งตรงกับช่วงที่ไข่ตก ผู้ป่วยจะมีอาการซีดและความดันต่ำเนื่องจากเสียเลือดในช่องท้อง การตรวจภายในอาจกดเจ็บที่บริเวณปีกมดลูกเพียงเล็กน้อย และมีลักษณะโป่งนูนของก้นเชิงกรานเพราะมีเลือดคั่งอยู่ ผู้ป่วยไม่มีไข้ และผลเลือดก็ไม่แสดงลักษณะของการติดเชื้อชัดเจน
  2. ถุงน้ำรังไข่บิด (Twisted ovarian cyst) ปวดเฉียบพลันรุนแรงที่ท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง อาจคลำก้อนได้ หากมีไข้และอาการปวดค่อย ๆ เกิด ต้องนึกถึงฝีรังไข่
  3. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ปวดท้องก่อนมีประจำเดือน และดีขึ้นหลังหมดประจำเดือน และเป็นแบบนี้มาหลาย ๆ เดือน ผู้ป่วยมักปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ และมีบุตรยากด้วย

ในผู้ป่วยที่มีประวัติทำแท้งเถื่อน ควรแจ้งแพทย์เสมอ เพราะเชื้อที่ติดอาจต่างจากเชื้อที่ทำให้เกิด PID โดยทั่วไป หากปิดบังอาจทำให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ครอบคลุม ส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรง

การรักษา

หากตรวจพบเร็วและอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยแพทย์จะนัดติดตามอาการภายใน 2–3 วันหลังเริ่มยา แต่หากอาการรุนแรง ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาปฏิชีวนะแบบฉีด หากไม่ตอบสนองต่อยา อาจต้องผ่าตัดมดลูกหรือปีกมดลูก

สิ่งสำคัญคือต้องรักษาคู่นอนพร้อมกัน แม้ไม่มีอาการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ



พยากรณ์โรค

หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายขาดได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้หรือได้รับการรักษาไม่เหมาะสม จะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น มีบุตรยาก ท้องนอกมดลูก ลำไส้อุดตัน หรือปวดท้องน้อยเรื้อรัง พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ ระยะเวลาที่เริ่มรักษา และการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ

การป้องกัน

แนวทางป้องกัน PID

  1. ไม่สวนล้างช่องคลอด เพราะทำให้เชื้อก่อโรคเข้าสู่โพรงมดลูกได้ง่าย
  2. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  3. มีคู่นอนเพียงคนเดียว

สรุป

โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์สตรีในอุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วมีความสำคัญอย่างมาก โดยการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเป็นวิธีหลัก และจำเป็นต้องรักษาคู่นอนร่วมด้วย การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และมีคู่นอนเพียงคนเดียว หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม พยากรณ์โรคโดยทั่วไปถือว่าดี แต่หากละเลยอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ได้